เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ครอบครัวข่าว 3
ถือเป็นประเด็นร้อนฉ่าประจำสัปดาห์เลยทีเดียวกับกรณีทหารยศพันเอกรายหนึ่งได้ออกมามอบตัว หลังตกเป็นจำเลยในข้อกล่าวหาขับรถชน หมอมุก แพทย์ประจำโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ เพียงเพราะแค่ฝ่าย หมอมุก ไปขอให้เลื่อนรถ แต่จอดรถขวางไว้ เพื่อไปทำธุระส่วนตัวอย่างเร่งด่วนเพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น จนฝ่ายหลังต้องเข้าโรงพยาบาลรับการผ่าตัดสมองในอาการสุดโคม่า
ซึ่งหลังจากที่ข่าวนี้ได้รับการตีแผ่ (หลังเรื่องเงียบสนิทไปถึง 9 วันนับจากวันเกิดเหตุและตำรวจได้รับแจ้งความ!) ข่าวนี้ก็ได้รับการพูดถึงกันเป็นวงกว้างถึงใจคออันโหดร้ายของฝ่ายที่กระทำกับหมอมุก และที่สำคัญคือ...พยานในที่เกิดเหตุทุกคนรู้จักหมอมุกดีและก็รู้จักผู้ก่อเหตุดีว่าเป็นใคร!!! แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถึงชื่อของบุคคลลึกลับ เพราะเกรงต่ออำนาจของคน ๆ นี้ ที่เป็นถึงลูกของนายพลนอกราชการระดับสูงรายหนึ่ง และปัจจุบันก็ดำรงตำแหน่งยศพันโทของกองทัพอีกด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีผู้สืบทราบว่ารถคันที่ใช้ก่อเหตุเป็นรถของทางราชการที่นายพลก. (นามสมมติ) เป็นผู้เบิกมาใช้และให้ลูกชายของตนเองขับ จึงเกิดกระแสเรียกร้องความยุติธรรมจากครอบครัวและเพื่อน ๆ ของหมอมุก รวมไปถึงกระแสสังคมบนโลกออนไลน์ ที่กดดันตำรวจให้จับคนผิดมาลงโทษให้ได้ แม้อีกฝ่ายจะเป็นทหารและมีอำนาจมากแค่ไหนก็ตาม จนกระทั่ง พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น เดินทางเข้ามอบตัวที่สน.พญาไท โดยสารภาพว่าผู้ขับรถคันดังกล่าวในคืนนั้นคือเขาเอง และเขาก็กล่าวว่าเขาไม่ได้ขับรถชน แต่หมอมุกเป็นฝ่ายโมโหและกระโดดเข้าหารถเอง!!!!
เมื่อคนร้ายเข้ามอบตัวแล้วก็เหมือนว่าเรื่องใกล้จะดำเนินมาถึงที่สุด แต่...กลับมีคำถามขึ้นมาถึงสองประเด็นในสังคมว่า "คิดได้ยังไง หมอมุก จะไปกระโดดให้รถชน" และ คนที่มอบตัวคือผู้ร้ายตัวจริงหรือไม่ เพราะพยานหลายปากต่างก็ทราบดีว่าคนร้ายมียศ "พันโท" ไม่ใช่ "พันเอก" ที่เดินทางเข้ามอบตัว
ทีนี้ก็เป็นเรื่องของตำรวจที่จะต้องสืบสวนเรื่องราวอย่างละเอียดและระมัดระวัง เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่คนให้ความสนใจกันมาก ว่าแต่เพื่อน ๆ ละคะ คิดอย่างไรกับคำตอบที่ผู้ต้องหาให้กับสังคมว่า...หมอมุกกระโดดชนรถ!! และคิดว่า พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น ที่เดินทางเข้ามอบตัวนั้น คือ "คนร้ายตัวจริง" หรือแค่ "แพะรับบาป" เท่านั้นเอง
