x close

ดอกสเลเต ดอกไม้ขาวบริสุทธิ์ ดีพร้อมด้วยสรรพคุณยา





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Wikipedia โดยคุณ Lezumbalaberenjena

            หลายท่านคงเคยเห็นดอกไม้ดอกหนึ่ง...ที่มีสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ มีกลีบบางเบาชวนน่าสัมผัส มันเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม ได้ดอมดมแล้วชวนชื่นใจดีจริง ๆ และดอกไม้ที่เราพูดถึงนั้น จะเป็นดอกไหนไปไม่ได้เลยนอกเสียจาก "ดอกสเลเต" หรือที่พอจะคุ้น ๆ ชื่อกันหน่อยก็คือ "ดอกมหาหงส์" ซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใกล้ ๆ นี่เอง
 
            แล้ววันนี้เราจะพาคุณ ๆ ผู้รักดอกไม้สวยงามทุกท่านไปทำความรู้จักกับดอกสเลเต และรายละเอียดต่าง ๆ หากผู้ใดสนใจจะปลูก ก็ไม่ยากเลย มาดูกันเลยค่ะ
 
            แต่ก่อนอื่น ไปรู้ที่มาของชื่อกันก่อนว่า ทำไมถึงมีหลายชื่อ แล้วแต่ละชื่อมีที่มาอย่างไรบ้าง ทั้งนี้คนแต่ละท้องถิ่นจะเรียกแตกต่างกันออกไป โดยภาคกลางเรียก มหาหงส์ หางหงส์ กระทายเหิน ว่านมหาหงส์ ซึ่งที่เรียกว่า มหาหงส์ นั้นก็เพราะรูปทรงของเจ้าดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์นี้เหมือน "มหาหงส์" หงส์เหิน อันเป็นนกในวรรณคดี ตระกูลสูง เสียงไพเราะ เป็นพาหะของพระพรหม โดยเฉพาะยามบานเต็มที่มองคล้ายล่องลอยอยู่ในอากาศอย่างงามสง่า เพราะถูกชูช่อขึ้นตรงปลายยอดจะมีลักษณะเหมือนหงส์เหินเป็นอย่างมาก

            ส่วนทางภาคเหนือนั้น จะเรียกดอกไม้ชนิดนี้ว่า ตาห่าน เหินแก้ว เหินคำ ในขณะที่ระยองกับจันทบุรี เรียกว่า เลเป ลันเต และอีสานเรียก สเลเต ชื่อที่หลายคนฟังแล้วชอบชื่อนี้นัก อีกทั้งผู้บ่าว (ชายหนุ่ม)ไทบ้านอิสานมักจะเปรียบเทียบหญิงคนรักกับดอกสเลเตว่า "โอ้แม่ดอกสเลเต"
 
ลักษณะทางกายภาพ
 
            ดอกสเลเต เป็นไม้หัวล้มลุก มีเหง้าคล้ายขิง ข่า ลำต้นอยู่ใต้ดิน ส่วนที่โผล่พ้นดินขึ้นมาแท้จริงเป็นก้านใบที่มีความยาวมาก เช่น เดียวกับกล้วยซึ่งมีลำต้น (เหง้า) อยู่ใต้ดิน และชูกาบใบพ้นดินเป็นเหมือนลำต้น กาบในหรือลำต้นเทียมของมหาหงส์อาจสูงได้ถึง 2 เมตร เมื่อสมบูรณ์เต็มที่ มีใบแยกออกสลับตรงข้ามกันเป็นระเบียบในแนวเดียวกัน เป็นใบเดี่ยว เส้นใบขนานกัน
 
            ดอกมีลักษณะเป็นช่อที่ปลายยอด ช่อละ 3-6 ดอก แต่ละดอกมี 3 กลีบ เป็นสีขาวนวลบริสุทธิ์ หรือ เหลืองแซม ออกเป็นช่อตลอดปี แต่เวลาบานไม่บานทั้งช่อ ค่อย ๆ ทยอยกันบาน  เริ่มหอมในเวลาเย็น และชวนดมเสียด้วย จึงมีผู้คนนิยมหามาปลูกกันมาก
 
การขยายพันธุ์
 
            นิยมแยกหน่อเช่นเดียวกับข่า หรือพุทธรักษา สเลเตชอบพื้นดินชื้นแฉะหรือน้ำขัง แต่ก็อาจปลูกในที่แห้งหรือในกระถางได้เช่นกัน โดยต้องให้น้ำมากเป็นพิเศษ จึงจะออกดอกได้ดี
 
            นอกจากความงดงามและกลิ่นหอมที่ชวนชื่นใจแล้ว ดอกสเลเต ยังมีสรรพคุณทางยามากมาย โดยในตำราแพทย์ไทยบอกเอาไว้ว่า เมื่อเอาเหง้าสเลเตมาหั่นตากแห้งเป็นผงคลุกกับน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน กินเช้าเย็นก่อนอาหารเพื่อบำรุงกำลัง แก้ปวดเมื่อย แก้ปวดแก้อักเสบได้ดีมาก อีกทั้งยังช่วยย่อยอาหารและบรรเทาอาการหอบหืด ลดความดันอีกด้วย

            ทั้งนี้ คนในสมัยก่อนยังนิยมใช้เหง้าสเลเต มาต้มเป็นยากลั้วคอ แก้ต่อมทอนซิลอักเสบได้ด้วย ยังไม่หมดเท่านี้ สเลเตยังใช้เป็นยาภายนอกในการแก้อักเสบ ฟกช้ำดำเขียว โดยจะใช้เหง้าสด ๆ ตำพอกหรือคั้นน้ำทาบริเวณที่มีอาการอักเสบ ช้ำ บวม หรือใช้เหง้าตำทำเป็นยาประคบหลังคลอด
 
            เป็นอย่างไรกันบ้าง กับเนื้อหาสาระดี ๆ ของดอกสเลเต ที่นำมาฝากกันวันนี้ หวังว่าคุณผู้อ่านทุกท่านคงรู้จักเจ้าดอกไม้สีขาวชวนดมดอกนี้มากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งได้รู้ว่ามันมีประโยชน์มากกว่าที่เรารู้มากเลยเนอะ^^
 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

- healthcorners.com

- siamsouth.com





เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ดอกสเลเต ดอกไม้ขาวบริสุทธิ์ ดีพร้อมด้วยสรรพคุณยา อัปเดตล่าสุด 17 ธันวาคม 2554 เวลา 13:08:04 120,907 อ่าน
TOP