Thailand Web Stat

วันนี้ของ หมอมุก กับปาฏิหาริย์ที่มีจริง







เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Youtube.com โพสต์โดย duangaes


          หลายคนคงจะจำเหตุการณ์อุบัติเหตุของ พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา หรือ หมอมุก ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเรื่องราวดังกล่าวเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากมายทั่ว ประเทศ ... ซึ่งในวันนั้นหมอมุกถูกรถเก๋งพุ่งชนเข้าใส่จนหมดสติ ถูกหามส่งโรงพยาบาลด้วยอาการโคม่า หลายคนที่ได้ทราบข่าวดังกล่าว ก็ได้แต่ภาวนาให้หมอมุกปลอดภัย ถึงแม้ว่า ขณะนั้นเปอร์เซ็นต์การมีชีวิตอยู่ต่อของหมอมุกจะมีเพียงนิดเดียวก็ตาม ...

          แต่แล้วเหตุการณ์ดังกล่าว ก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า "ปาฎิหาริย์มีจริง" จากคนที่อยู่ใกล้ความตายแค่เอื้อม.. มาวันนี้ร่างกาย และสติปัญญาของหมอมุกกลับมาดีขึ้นตามลำดับ หายวันหายคืน และอีกไม่นานคงจะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนเช่นเคย... วันนี้กระปุกดอทคอมก็ขอนำเรื่องราวปฏิหาริย์ และพลังใจอันยิ่งใหญ่ของคุณแม่ "พรรณกร อิ่มวิทยา"  พร้อมทั้งอัพเดตอาการของหมอมุก ในรายการ วีไอพี (27 กุมภาพันธ์) มาฝากกันค่ะ
 
          เมื่อย้อนกลับไปวันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่า ๆ คุณแม่ของหมอมุก เล่าให้ฟังว่า ... วันนั้นเป็นวันที่ทรมานหัวใจที่สุด เพราะใครจะคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้าย ๆ เช่นนี้ ที่หน้าบ้านของตัวเอง ตอนนั้นช่วง 2 ทุ่มกว่า ๆ ตนและลูกสาวเพิ่งกลับไปเดินทางกราบไหว้หลวงปู่ท่อน ญาณธโร ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ แต่เมื่อมาถึงบ้านเห็นรถเก๋งคันหนึ่งจอดขวางหน้าบ้าน เลยจอดขนานรถคันนั้นไว้ แล้วลูกสาวจึงเดินไปบอกว่า ใครที่จอดรถขวางอยู่ให้เดินมาถอยรถหน่อย จากนั้นตนและลูกสาวก็รอนานประมาณ 30 - 45 นาที ถึงมีคนมาขับรถออกไป พอเขาออกรถเสร็จหมอมุกก็กำลังจะขึ้นรถเข้าบ้าน แต่หมอมุกเห็นเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล เพราะรถที่จอดขวางไว้ดังกล่าว กลับวกรถและจอดรออยู่ฝั่งตรงข้าม หมอมุกเห็นท่าไม่ดีเลยบอกให้ตนเข้าบ้านไปก่อน ช่วง จังหวะที่ตนหันหลังเข้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงเร่งเครื่องยนต์ พอหันกลับมาก็เห็นลูกสาวของตนนอนอยู่บนกระโปรงรถ ที่ขับแรงและเร็ว แถมยังส่ายไปส่ายมา สักพักก็ได้ยินเสียงลูกสาวตนตกลงรถดังตุ๊บ! พร้อมเสียงร้องดังสนั่น ตนจึงรีบวิ่งไปดู เห็นลูกสาวร้องด้วยความเจ็บ ร้องจนเสียงหมด และหายใจรวยรินเข้าไปทุกที ๆ กว่ารถปอเต็กตึ๊งจะมาก็ ปาไปกว่า 30 นาที ช่วงเวลาที่รอนั้นตนทรมานแทบขาดใจ... เพราะทำอะไรไม่ได้ ปฐมพยาบาลไม่ได้... ทำได้เพียงแค่มองเขา และภาวนาให้เขาไม่เป็นอะไรมาก

          คุณแม่หมอมุก เล่าให้ฟังต่อว่า...  พอไปถึงโรงพยาบาลหมอก็ต่อท่อออกซิเจนให้ทันที ส่วนเพื่อนหมอด้วยกันไม่มีใครจำเขาได้เลย เพราะหน้าตาเริ่มบวม โหนกตรงหัวก็ค่อย ๆ ปูดขึ้นทีละนิด ๆ พอหมอส่งลูกสาวเข้าไอซียู ตนก็รีบไปกลับไปยังที่เกิดเหตุ และแจ้งความ ต่อมาอีกวันหนึ่ง ตนก็เดินทางไปเยี่ยมลูกที่โรงพยาบาล เขาไม่รู้สึกตัวเลย และหมอก็บอกให้ตนเซ็นผ่าตัดด่วน เพราะลูกได้รับกระทบกระเทือนทางสมองเป็นอย่างมาก ทั้งสมองบวม และเลือดคั่งในสมอง

         เมื่อหมอมุกผ่าตัดเสร็จ ตนก็เข้าไปเยี่ยม ครั้งแรกที่เห็นสภาพของหมอมุกตนทำใจแทบไม่ได้ เพราะมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด หน้าตาก็บวม หัวก็ถูกพันแผลหมดเลย ... หมอมุกนอนไม่รู้สึกตัวที่ห้องไอซียูเป็นอาทิตย์ ๆ ในช่วงนั้นตนทำอะไรไม่ได้ นอกจากมาเยี่ยม และพอหมดเวลาเยี่ยม ตนก็เดินทางไปไหว้พระ ถือศีลแปด ปล่อยวัว ปล่อยควาย ทำบุญทุก ๆ อย่าง หวังเพียงจะให้ลูกลืมตามามองตนอีกครั้ง ตอนที่เข้าไปเยี่ยมที่ห้องไอซียู ตนก็บีบแขนเขาทุกวัน แล้วก็บอกกับเขาว่า "แม่มาหามุกนะ มุกเป็นลูกของแม่ แม่รักลูกมาก"

         คุณแม่หมอมุก ยังเล่าให้ฟังอีกว่า หลังจากที่เพื่อน ๆ ขอหมอมุกทราบข่าว ก็เดินทางมาสอบถามถึงเหตุการณ์วันนั้น เมื่อทราบข่าวก็แนะนำให้ตนร้องต่อรายการสามมิติ ซึ่งหลังจากเกิดเรื่อง 1 อาทิตย์ ก็ได้ออกรายการ มีคนมากมายทั้งรู้จัก และไม่รู้จักมาเยี่ยม พร้อมส่งจดหมายมาให้กำลังใจเต็มไปหมด บางคนก็เป็นฝรั่งที่อยู่ในเมืองไทย บางคนก็เป็นคนไทยในต่างแดน แถมบางคนยังถักหมวกไหมพรม ถักเสื้อ ซื้อของมาเยี่ยมมากมาย นอกจากนี้ยังมีพระของทุก ๆ ศาสนามาเยี่ยม และอวยพรขอให้หมอมุกแข็งแรง ที่สำคัญหมอมุกยังได้รับพระกรุณาธิคุณ จากสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ให้หมอมุกเป็นคนไข้ของท่าน และท่านได้ประทานดอกไม้ พร้อมเครื่องหอมมาให้ และในวันนั้นนั่นเองที่หมอมุกขยับมือบีบตนได้...

         "ตอนที่หมอมุกบีบมือเหมือนแสงสว่างได้ส่องมาที่กลางใจ ตนรู้สึกว่าเริ่มมีความหวังขึ้นมา และทางทีมแพทย์ก็พยายามรักษาสุดฝีมือ ไม่ว่าจะเป็นหมอทางด้านฝั่งเข็ม ที่ก่อนหน้านี้หมอมุกตัวเขียว ตัวแข็งทื่อไปหมด แต่คุณหมอน่ารักมาก ๆ มาช่วยกดจุดวันละ 1 ชั่วโมง ทุกวันติดต่อกันร่วมเดือน จนหมอมุกมีใบหน้าที่สดใส และตัวไม่แข็งแล้ว...  ต่อจากนั้นอาการของหมอมุกก็ดีวันดีคืน ส่วนตนก็ทิ้งงานทุก ๆ อย่าง เพื่อมาดูแลลูก เพราะเหลือกันอยู่แค่สองคน ถึง แม้ว่าจะมีพยาบาลดูแล แถมยังมีคนพระราชทานมาช่วยดูแลอีก แต่ตนก็ต้องคอยอยู่ข้าง ๆ เพราะตนคิดว่าเป็นคนที่รู้ใจลูกมากที่สุด อย่างเช่น เวลาเขาต้องการอะไรนั้น เนื่องจากเซลล์การพูดของเขามันพัง  ถ้าเขานึกอะไรออกเขาก็พูดออกมาเลย วันนั้นตนถามเขาว่าอยากกินอะไร เขาก็ตอบว่าไส้กรอก แต่เป็นภาษาเยอรมัน เพราะเขาพูดได้สามภาษา (หัวเราะ)"

         ส่วนอาการของหมอมุกที่ตนได้ทราบจากแพทย์นั้น แพทย์บอกว่า เซลล์ประสาททางสมองซีกซ้ายถูกทำลายไป จึงทำให้ร่างกายซีกขวาไม่ค่อยมีแรง และการควบคุมเกี่ยวกับการสั่งงานของร่างกายบกพร่อง โดยเฉพาะเรื่องภาษา ตอนแรกเขาพูดไม่ได้เลย ต่อมาก็พยายามพูดเป็นคำ ๆ และตอนนี้สามารถสนทนาได้แล้ว แต่ไม่สามารถพูดเป็นประโยคยาว ๆ ได้สักเท่าไร เนื่องจากเซลล์ประสาทการรับรู้ดังกล่าวพังไป แพทย์เลยใช้เซลล์ข้าง ๆ ที่ไม่ได้ใช้งาน มาสร้างและเติมความรู้ใหม่หมด ตั้งแต่เริ่มเขียน เริ่มอ่าน เริ่มพูด พร้อมค่อย ๆ ให้เขาฝึกทักษะในการคิด คือเขาต้องเริ่มใหม่หมดเลย ทั้งบวกเลขลบเลข อ่านหนังสือ ซึ่งหมอมุกพออ่านได้แล้ว แต่ยังไม่ค่อยคล่องเท่าไร

        และถึงแม้ว่าหมอมุกจะพูดเป็นประโยคไม่ได้ แต่ตลอดเวลาที่อยู่ในรายการ หมอมุกก็พยายามฟัง และพยายามพูด พร้อมทั้งหัวเราะ และยิ้มอย่างสดใส มองเผิน ๆ เหมือนคนปกติที่ไม่เคยประสบอุบัติเหตุมาก่อน แถมหมอมุกยังอารมณ์ดีร้องเพลง 30 ยังแจ๋วให้พิธีกรฟังด้วย ... ซึ่งคุณแม่หมอมุกบอกว่า การร้องเพลงของเขาเป็นจิตใต้สำนึก เขาถึงร้องเพลงได้ก่อนที่จะพูด...









        คุณแม่ยังกล่าวต่อว่า ล่าสุดอาการทางสมองของหมอมุกตอนนี้อยู่ที่ 80% ส่วนร่างกายนั้นอยู่ที่ 99% ซึ่งทุกวันหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล หมอมุกยังต้องไปพบแพทย์ โดยเวลา 07.00 น. ก็จะมีรถของหน่วยงานต่าง ๆ ผลัดกันมารับไปโรงพยาบาล เพื่อไปบำบัดร่างกาย ทั้งฝึกพูด ฝึกมือ และฝั่งเข็ม ส่วน หมอมุกเขาก็ไม่ได้มีท่าทีเครียดหรือกดดันในการเข้าบำบัด เพราะเขาได้เล่นเกมฝึกมือ อย่างตีปิงปอง โยนโบว์ลิ่ง แถมยังได้ฝึกพิมพ์ดีด ซึ่งหมอก็บอกว่า เขาสามารถรับรู้และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างซับซ้อนได้อย่างดีเยี่ยม และยังบอกอีกว่า ความเป็นจริงแล้วพัฒนาการของผู้ป่วยหลังจาก 6 เดือน ก็จะเริ่มช้าลง แต่หมอมุกยังมีพัฒนาการที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก

         เมื่อพิธีกรถามเรื่องราวตอนเด็กของหมอมุก คุณแม่ก็ตอบว่า... ตนอยู่กับหมอมุกมา 2 คน ตั้งแต่เด็ก เนื่องจากปู่ย่าตายายเสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังไม่เกิด อีกทั้งเมื่อตอนที่หมอมุกอายุแค่ 9 เดือน สามีของตนก็เสีย เนื่องจากเป็นทหารที่ภาคใต้ ตอนนั้นตนรู้สึกทุกข์มาก แต่เมื่อมองไปยังแม่ของตน เขาไม่มีความรู้เลย เรี่ยนก็ไม่จบ แต่สามารถเลี้ยงดูตนจนจบปริญญาทั้งในประเทศ และต่างประเทศได้ แล้วทำไมตนจะเลี้ยงลูกให้โตขึ้นมาไม่ได้...

        คุณแม่ของหมอมุก ยังกล่าวอีกว่า ตนมีหมอมุกตอนอายุ 35 ก็แอบลุ้นในใจว่าลูกจะสมบูรณ์ครบ 32 หรือเปล่า ขอแค่ให้เขาโตมาอยู่เป็นเพื่อนตนเท่านั้นก็พอ ไม่เคยกะเกณฑ์ให้เขาเป็นอะไรเลย ส่วนเรื่องพ่อของหมอมุก ตน ก็เล่าให้เขาฟังตั้งแต่เด็ก ๆ เลยว่า  พ่อเขาเสียชีวิตไปแล้ว ที่สนามรบ ซึ่งเขาก็เข้าใจ แต่มีอยู่วันหนึ่งหมอมุกที่ตอนนั้นอายุประมาณ 6 ขวบ เดินร้องไห้กลับบ้าน แล้วบอกกับตนว่า  เพื่อน ๆ มีพ่อที่แต่งชุดทหารมารับ และเขารู้แล้วว่า พ่อได้ตายไปจริง ๆ เพราะถ้ายังไม่ตาย พ่อจะต้องใส่ชุดทหารมารับ และหลังจากนั้นหมอมุกไม่เคยพูดหรือร้องไห้อีกเลย

        คุณแม่ เล่าต่อว่า ช่วงที่ตนทำงานตนต้องไปรับทุนเรียนต่อหลายประเทศเลย ซึ่งตนก็จะพาหมอมุกไปด้วยทุกครั้ง ไปไหนไปด้วยกัน เป็นแม่เป็นลูก เป็นเพื่อนที่เข้าใจกันมาตลอด ช่วงเด็ก ๆ เขาก็มีดื้อ และซนบ้าง ที่สำคัญเขาชอบแหย่ตน

       "ตอนเด็ก ๆ แม่สอนเขาว่า ปลั๊กไฟห้ามเอามือไปแหย่นะไฟจะดูด... พอแม่พูดเสร็จมุกก็เอานิ้วก้อยเล็ก ๆ ทำท่าแหย่เข้าไปใกล้ ๆ แต่ไม่ได้แหย่เข้าไปจริง ๆ นะ เขาแค่แกล้งแม่ พอเห็นแม่ตกใจก็หัวเราะชอบใจใหญ่" คุณแม่หมอมุก เล่า

        สำหรับอาชีพคุณหมอทหารของหมอมุกนั้น คุณแม่บอกว่า เริ่มต้นมาจาก เขาอยากเป็นหมอเหมือนแม่ และอยากเป็นทหารเหมือนพ่อ แต่ ก่อนหน้านี้ตอนเด็ก ๆ เขาอยากเป็นสัตวแพทย์มากกว่า พอเรียน ๆ ไปเขาก็เริ่มไม่ชอบ เพราะทุกชีวิตต้องโดนฆ่าถ้าใช้ประโยชน์ไม่ได้ เขาเลยเบนเข็มมาเรียนเวชศาสตร์ และการฝังเข็ม พอเรียนจบก็ไปใช้ทุนที่ จ.ลพบุรี และเคยสมัครลงไปช่วย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะเขาอยากเดินตามรอยเท้าพ่อ ซึ่งตนก็ไม่สามารถห้ามอะไรได้ แต่ก็เป็นห่วงอยู่ห่าง ๆ เห็นลูกทำดี ตนก็มีความสุข แล้วที่สำคัญเขาชอบการรักษาคนที่ภาคใต้มาก ๆ เพราะเขาได้โชว์ฝีมือสุด ๆ (หัวเราะ) หมอมุกก็พูดแทรกว่า ได้ฝังเข็มวันละตั้งร้อยคน (หัวเราะ) จากนั้นเขาก็ไปประจำที่ จ.ร้อยเอ็ด และเพิ่งย้ายกลับมาได้เพียง 3 เดือน ก่อนเกิดเหตุ



         คุณแม่ของหมอมุก กล่าวต่อว่า ทุกวันนี้ตนไม่เคยท้อต่อโชคชะตาเลย อะไรจะเกิดเราเพียงแค่ทำใจ ตั้งสติ และยอมรับมันให้ได้ ต่อจากนี้ตนก็หวังว่า หมอมุกจะกลับมาทำงานได้ นำวิชาชีพมารักษาคนไข้ต่อไป ส่วนเรื่องดีอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือหมอมุกได้รักษาศีล 5 ตลอดเวลา

        อย่างไรก็ตาม... ตนก็ขอขอบคุณไปยังพลังใจของทุก ๆ คน และเมตตาบารมี ที่พระราชินีอุปถัมภ์หมอมุกไว้ ตอนนี้หมอมุกใกล้หายแล้ว แข็งแรง และไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ หัวเราะสนุกสนานกับตนได้ นับว่าเป็น "ปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่" ที่เกิดขึ้นในชีวิตตนแล้ว..







วันนี้ของ หมอมุก กับปาฏิหาริย์ที่มีจริง ตอนที่ 1



วันนี้ของ หมอมุก กับปาฏิหาริย์ที่มีจริง ตอนที่ 2




วันนี้ของ หมอมุก กับปาฏิหาริย์ที่มีจริง ตอนที่ 3




วันนี้ของ หมอมุก กับปาฏิหาริย์ที่มีจริง ตอนที่ 4



















เรื่องที่คุณอาจสนใจ
วันนี้ของ หมอมุก กับปาฏิหาริย์ที่มีจริง อัปเดตล่าสุด 28 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 15:49:34 77,738 อ่าน
TOP
x close