เมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา เว็บไซต์ไชน่าเดลี่ของจีน เปิดเผยเรื่องราวอันสุดซึ้งของหนุ่มจีนรายหนึ่ง ที่ยอมทิ้งการเรียนมาดูแลพ่อซึ่งป่วยหนักและอยู่กับพ่อจนลมหายใจสุดท้าย หลังแพทย์เผยต้องนอนให้ยาระงับความทรมานและนอนรอวันตายสถานเดียวเท่านั้น
โดยหนุ่มคนดังกล่าวนี้ คือนายเฉิง จี้ไหล วัย 24 ปี นักศึกษาปีที่ 2 จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจีน เขาเติบโตมาในครอบครัวชาวนาแสนอบอุ่นที่มีฐานะไม่สู้ดีนัก แต่เมื่อเขาเริ่มเป็นวัยรุ่น แม่ของเขาก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ทำให้เฉิง อี้ซิง พ่อของเขาจึงต้องทำงานให้หนักขึ้นเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูส่งเสีย เฉิง จี้ไหล และพี่สาวทั้ง 2 คน ให้สามารถเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้ จนในที่สุด พ่อของเขาก็สามารถส่งเสียพี่สาวทั้งสองคนของเขาให้เรียนจบมหาวิทยาลัยและได้ดิบได้ดีเป็นฝั่งเป็นฝา และในช่วงนี้เองที่พ่อของเขาได้พบรักกับหญิงหม้ายที่อายุมากกว่าถึง 10 ปี ก่อนจะครองชีวิตคู่กันเป็นครอบครัว ซึ่งก็ทำให้ลูก ๆ ต่างคิดว่าพ่อคงจะมีความสุขในบั้นปลายชีวิตแล้ว
แต่ในขณะที่เฉิง จี้ไหล ซึ่งเป็นน้องคนสุดท้อง สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้และกู้ยืมกองทุนค่าเล่าเรียนมาเป็นค่าใช้จ่าย ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น พ่อของเขาก็เริ่มล้มป่วยลงเพราะทำงานหนัก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น พ่อของเขาก็ยังฝืนทนทำงานต่อไป แม้จะแอบไปหาหมอและพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งลำไส้ก็ตาม แต่เขาก็ไม่เคยเอ่ยปากบอกลูก ๆ เรื่องนี้เลย
จนกระทั่ง 2 ปีต่อมา เฉิง อี้ซิง ก็เริ่มล้มป่วยหนักขึ้นกว่าเดิม และไม่อาจทำงานได้อีกต่อไป ทำให้เฉิง จี้ไหล และพี่สาวต้องพาพ่อไปหาหมอด้วยตัวเอง และก็ต้องช็อกเมื่อหมอบอกว่า พ่อของเขาเป็นมะเร็งลำไส้มานานแล้ว และตอนนี้มะเร็งก็ลุกลามไปทั่วจนไม่สามารถเยียวยารักษาได้ ที่ทำได้ก็แค่เพียงให้ยาบรรเทาความทรมานและยื้อเวลาชีวิตออกไปได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น ซึ่งนั่นหมายความว่า พ่อของเขามาหาหมอสายเกินไป ที่ทำได้เพียงแค่นอนรอให้เฮือกสุดท้ายของลมหายใจมาถึง
หลังจากรับรู้ถึงอาการป่วยที่ไม่อาจรักษาหายของพ่อ เฉิง จี้ไหล ซึ่งกำลังเรียนอยู่ปี 2 ก็ตัดสินใจทิ้งการเรียน ทิ้งอนาคต กลับบ้านมาดูแลพ่อในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตทันที เพื่อทำหน้าที่ลูกให้ดีที่สุดในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตพ่อ และเมื่อเขาทำใจแล้วว่า พ่อของเขาอาจหมดลมหายใจลงเมื่อไรก็ได้ เขาจึงใช้เงินเก็บที่ได้จากการทำงานระหว่างเรียนทั้งหมดมาใช้ในการดูแลพ่อ และซื้อโลงศพให้กับพ่อด้วย
โดย เฉิง จี้ไหล ได้เปิดเผยถึงบุญคุณของพ่อที่มีให้เขามาตั้งแต่เกิดว่า "ผมเห็นพ่อทำงานหนักมาตั้งแต่ผมยังเด็ก และเมื่อผมเติบโตขึ้นมา สอบเข้าโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอซึ่งอยู่ห่างบ้านไปกว่าร้อยกิโลเมตรได้ ผมก็ไปใช้ชีวิตอยู่ห่างพ่อนับแต่นั้น และทำงานหาเงินเป็นค่าเล่าเรียนของตัวเอง เพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว แต่ผมก็หาเวลากลับมาช่วยพ่อทำงานในนาบ้าง ซึ่งทุกครั้งพ่อจะให้ผมทำงานเบา ๆ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองทำงานหนัก พ่อบอกผมว่าพ่อไม่อยากเห็นลูกเหนื่อย ความหวังของพ่อคือให้ลูกทุกคนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ซึ่งตอนนี้พี่สาวและผมก็ทำได้อย่างที่พ่อหวังแล้ว แต่แล้วพ่อก็มาล้มป่วยลงและอาการก็เกินจะเยียวยา ผมจึงจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างมาอยู่กับพ่อ ผมเคยฝันนะว่าพ่อจะหายจากอาการป่วย แต่มันก็เหมือนกับเป็นฝันลม ๆ แล้ง ๆ เมื่อทุกวันนี้อาการพ่อทรุดลงทุกวัน หัวใจของพ่ออาจหยุดเต้นได้ทุกเมื่อ ดังนั้นสิ่งที่ผมทำได้ก็คืออยู่กับพ่อจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตพ่อ"
ทุกวันนี้ พี่สาวทั้งสองคนรับผิดชอบเรื่องยาบรรเทาความทรมานของพ่อ ขณะที่เฉิง จี้ไหล ซึ่งไม่มีรายได้แล้ว ก็ทำหน้าที่เป็นหมอดูแลพ่อ โดยทุกวันเขาต้องตื่นมาทำความสะอาดบาดแผลกดทับและเปลี่ยนยา และทุกครั้งที่เขาเปลี่ยนยาให้พ่อ พ่อก็ต้องร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะบอกว่า "ขอให้พ่อตายเถอะ ลูก ๆ จะได้พ้นทุกข์โศกเสียที"
และแล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา ขณะที่เฉิง จี้ไหล กำลังนอนหลับอยู่ข้างกายพ่อ พ่อซึ่งไม่เคยลุกขึ้นยืนได้ ก็ใช้ความพยายามทั้งหมดผลักตัวเองให้ลุกขึ้นเดินไปหยิบสารเคมีที่ใช้ในการเกษตรขึ้นมา แล้วกรอกใส่ปาก เพราะไม่อยากเป็นภาระของลูกอีกต่อไปแล้ว แต่ระหว่างนั้นเอง ที่เฉิง จี้ไหล ได้ตื่นขึ้นมาเห็นเข้า จึงห้ามพ่อไว้ได้ทัน ขณะที่ทั้งสองก็กอดกันด้วยน้ำตานองหน้า และเฉิง จี้ไหล เองก็ยืนยันที่จะทุ่มเททุกอย่างเพื่อยื้อชีวิตพ่อให้นานที่สุด
แต่แล้ว 1 สัปดาห์หลังจากนั้น พ่อก็เริ่มรู้สึกว่าใกล้จะหมดเวลาชีวิตของตัวเองเต็มทน จึงได้สั่งเสีย เฉิง จี้ไหล ว่า ค่าซ่อมครัว 6,000 หยวนที่ยืมคนรู้จักมาก่อนหน้านี้ ยังไม่ได้คืนเจ้าของเลย ฝากให้เฉิง จี้ไหล หามาคืนเขาด้วย และดูแลแม่เลี้ยงดี ๆ ที่สำคัญต้องตั้งใจเรียนให้จบ
หลังจากนั้นไม่กี่วัน พ่อก็จาก เฉิง จี้ไหล ไปอย่างไม่มีวันกลับ สร้างความเศร้าสลดให้กับคนที่รู้เรื่องราวเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ขณะที่เรื่องราวความกตัญญูของ เฉิง จี้ไหล ก็กลายเป็นตัวอย่างของหนุ่มผู้กตัญญู ยอมสละทุกอย่างมาอยู่กับพ่อจนถึงวินาทีสุดท้าย ที่ถูกบอกเล่ากันไปตามสื่อต่าง ๆ จนถึงทุกวันนี้
