"ไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์แบบ" แต่ก็ไม่มีใครในโลกใบนี้ที่จะโชคร้ายไปเสียทุกอย่าง...ชีวิตของ "ฟ้าใส" เด็กหญิงตัวน้อย ๆ คนนี้ก็เช่นกัน แม้ว่าโลกอันงดงาม บริสุทธิ์ สดใส และก้องกังวานไปด้วยเสียงเพลงของเธอจะเป็นโลกที่มืดมิด แต่เธอก็ยังโชคดีที่มีคุณแม่ซึ่งรักเธอปานแก้วตาดวงใจคอยเป็น "ดวงตา" เปิดโลกที่สวยงามให้กับนางฟ้าตัวน้อย ๆ ได้สัมผัส
ทุกคนที่เกิดมาล้วนต้องเผชิญกับอุปสรรคที่จะเข้ามาเป็นบททดสอบให้ชีวิต แต่ทว่า...บททดสอบของ "ฟ้าใส" พรรณรมณ แสงสุรัตน์ เด็กหญิงหน้าตาน่ารัก วัย 4 ขวบ กลับเริ่มต้นเร็วเกินไปก่อนที่เด็กน้อยจะรู้เดียงสาด้วยซ้ำ เธอป่วยเป็นมะเร็งสมอง ระยะที่ 4 ตั้งแต่มีอายุแค่เพียง 5 เดือน หนทางเดียวที่จะรอดชีวิตก็คือ การผ่าตัดเอาก้อนเนื้อร้ายซึ่งอยู่ใกล้กับแกนสมองออกอย่างเร่งด่วน ซึ่งนับว่าเสี่ยงพอดู เพราะโอกาสเป็น-ตายห่างกันไม่มากนัก แต่สุดท้าย "ฟ้าใส" ก็รอดมาได้ราวปาฏิหาริย์
แม้ว่าน้องฟ้าใสจะรอดตายจากเชื้อร้าย แต่เธอก็ยังต้องทำเคมีบำบัดอีก 16 คอร์ส เพื่อไม่ให้เชื้อขยายตัว ขนาดผู้ใหญ่เองก็รู้ดีว่า การทำเคมีบำบัดเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสขนาดไหน แล้วยิ่งเด็กตัวเล็ก ๆ อายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบ ผลข้างเคียงก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ทำให้น้องฟ้าใสต้องเข้าออกห้องไอซียูเป็นว่าเล่น และสุดท้ายอาการก็ดีขึ้น
แม้ว่าน้องฟ้าใสจะรอดตายจากเชื้อร้าย แต่เธอก็ยังต้องทำเคมีบำบัดอีก 16 คอร์ส เพื่อไม่ให้เชื้อขยายตัว ขนาดผู้ใหญ่เองก็รู้ดีว่า การทำเคมีบำบัดเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสขนาดไหน แล้วยิ่งเด็กตัวเล็ก ๆ อายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบ ผลข้างเคียงก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ทำให้น้องฟ้าใสต้องเข้าออกห้องไอซียูเป็นว่าเล่น และสุดท้ายอาการก็ดีขึ้น
น่าเศร้าเหลือเกินที่ความดีใจครั้งนั้นเกิดขึ้นได้ไม่นานนัก มรสุมลูกใหม่ก็ได้ถาโถมเข้าใส่ "ฟ้าใส" อีกครั้งหนึ่ง เมื่อจู่ ๆ ดวงตาของเด็กน้อยกลับบอดทั้งสองข้าง แพทย์สันนิษฐานว่า อาจเป็นเพราะก้อนเนื้อร้ายไปกดทับเส้นประสาทตา หรือไม่ก็คงเป็นผลข้างเคียงจากการผ่าตัดครั้งนั้น เนื่องจากต้องผ่าตัดผ่านบริเวณเส้นประสาทตาพอดี เท่ากับว่า แม้ "ฟ้าใส" จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่เธอก็ต้องใช้ชีวิตที่รอดมาได้นั้นอยู่ในโลกที่ไร้แสงสว่างไปตลอดชีวิต
แต่สวรรค์ก็ไม่ได้กลั่นแกล้ง "ฟ้าใส" จนเกินไปนัก เพราะ "ฟ้าใส" มีแม่ที่รักเธออย่างสุดหัวใจ และพร้อมจะทุ่มเทชีวิตนี้ทั้งชีวิตให้กับเธอ คุณแม่ของ "ฟ้าใส" คือ "ดวงตาดวงที่ 3" ที่คอยเปิดโลกที่สวยงามให้ลูกสาวได้ชื่นชม ไม่ว่าสองแม่ลูกจะพบกับอะไรที่อยู่เบื้องหน้า ผู้เป็นแม่จะคอยอธิบายสิ่งต่าง ๆ รอบตัวให้ลูกฟังอย่างละเอียดโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
"จริง ๆ แล้ว ข้างในเราก็แย่เหมือนกันนะ แต่เราก็ต้องอดทน ให้จิตเข้มแข็ง จะได้มอบให้กับลูก ลูกเราจะได้สัมผัสได้ว่า แม่เข้มแข็ง ลูกก็ต้องเข้มแข็งนะ หนูต้องมีชีวิตอยู่..." ปวีณา ติยพรสุข แม่ของน้องฟ้าใส บอก
ทุกเวลา ทุกนาที ผู้เป็นแม่จะคอยปลูกฝังให้ลูกสาวเข้มแข็ง อดทน เพื่อต่อสู้กับโรคร้าย และพร่ำสอนให้ลูกสาวหัดช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เด็ก ทั้งอาบน้ำ ใส่เสื้อผ้า กินยา เพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นภาระให้กับใคร ซึ่งดูเหมือนว่า ฟ้าใส จะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน น้องฟ้าใส เรียนอยู่ในชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนสอนคนตาบอด ซึ่งคุณครูประจำชั้นต้องดูแลเธอเป็นพิเศษ เพราะน้องฟ้าใสตัวเล็กกว่าเพื่อน ๆ และมีสุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อีกทั้งการทรงตัวก็ยังไม่ค่อยปกติ คุณครูจึงให้น้องใส่ถุงทรายที่เท้าทั้งสองข้าง เพื่อให้น้องหัดเดินตรง ๆ
นอกจากนี้ คุณครูยังสอนให้น้องเรียนรู้อักษรเบลล์ ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่จำเป็นอย่างยิ่ง และน้องฟ้าใสก็เรียนรู้ได้เร็วเสียด้วย เพราะมีความจำเป็นเยี่ยม สามารถจดจำคน และจดจำเนื้อเพลงได้อย่างรวดเร็ว ฟ้าใสจึงมักจะร้องเพลงให้เพื่อน ๆ ฟังบ่อย ๆ อย่างมีความสุข จนกระทั่งเลิกเรียน น้องฟ้าใส จะดูกระฉับกระเฉงเป็นพิเศษที่คุณแม่จะมารับกลับบ้าน
แต่สวรรค์ก็ไม่ได้กลั่นแกล้ง "ฟ้าใส" จนเกินไปนัก เพราะ "ฟ้าใส" มีแม่ที่รักเธออย่างสุดหัวใจ และพร้อมจะทุ่มเทชีวิตนี้ทั้งชีวิตให้กับเธอ คุณแม่ของ "ฟ้าใส" คือ "ดวงตาดวงที่ 3" ที่คอยเปิดโลกที่สวยงามให้ลูกสาวได้ชื่นชม ไม่ว่าสองแม่ลูกจะพบกับอะไรที่อยู่เบื้องหน้า ผู้เป็นแม่จะคอยอธิบายสิ่งต่าง ๆ รอบตัวให้ลูกฟังอย่างละเอียดโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
"จริง ๆ แล้ว ข้างในเราก็แย่เหมือนกันนะ แต่เราก็ต้องอดทน ให้จิตเข้มแข็ง จะได้มอบให้กับลูก ลูกเราจะได้สัมผัสได้ว่า แม่เข้มแข็ง ลูกก็ต้องเข้มแข็งนะ หนูต้องมีชีวิตอยู่..." ปวีณา ติยพรสุข แม่ของน้องฟ้าใส บอก
ทุกเวลา ทุกนาที ผู้เป็นแม่จะคอยปลูกฝังให้ลูกสาวเข้มแข็ง อดทน เพื่อต่อสู้กับโรคร้าย และพร่ำสอนให้ลูกสาวหัดช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เด็ก ทั้งอาบน้ำ ใส่เสื้อผ้า กินยา เพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นภาระให้กับใคร ซึ่งดูเหมือนว่า ฟ้าใส จะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน น้องฟ้าใส เรียนอยู่ในชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนสอนคนตาบอด ซึ่งคุณครูประจำชั้นต้องดูแลเธอเป็นพิเศษ เพราะน้องฟ้าใสตัวเล็กกว่าเพื่อน ๆ และมีสุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อีกทั้งการทรงตัวก็ยังไม่ค่อยปกติ คุณครูจึงให้น้องใส่ถุงทรายที่เท้าทั้งสองข้าง เพื่อให้น้องหัดเดินตรง ๆ
นอกจากนี้ คุณครูยังสอนให้น้องเรียนรู้อักษรเบลล์ ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่จำเป็นอย่างยิ่ง และน้องฟ้าใสก็เรียนรู้ได้เร็วเสียด้วย เพราะมีความจำเป็นเยี่ยม สามารถจดจำคน และจดจำเนื้อเพลงได้อย่างรวดเร็ว ฟ้าใสจึงมักจะร้องเพลงให้เพื่อน ๆ ฟังบ่อย ๆ อย่างมีความสุข จนกระทั่งเลิกเรียน น้องฟ้าใส จะดูกระฉับกระเฉงเป็นพิเศษที่คุณแม่จะมารับกลับบ้าน
แม้ว่า "ฟ้าใส" จะตาบอดทั้งสองข้าง แต่เธอก็ไม่ได้ให้ลูกอยู่แต่ในบ้าน ตรงกันข้าม
เธอสอนลูกไม่ต่างจากแม่คนอื่น ๆ โดยวันเสาร์จะพาน้องไปเรียนภาษาอังกฤษ ส่วนวันอาทิตย์จะเรียนดนตรี และร้องเพลง ซึ่งเป็นสิ่งที่น้องฟ้าใสชื่นชอบและเฝ้ารอเป็นพิเศษ เมื่อไหร่ที่ได้เล่นดนตรี น้องฟ้าใสจะมีความสุขอย่างที่สุด พลอยทำให้คุณแม่ยิ้มออกได้ในทุกครั้ง
และเมื่อวันใดที่มีเวลาว่าง คุณแม่ก็จะพาลูกไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว เป็นการฝึกให้ลูกสาวกล้าที่จะเผชิญกับโลกใบนี้ อย่างเช่นการพาลูกนั่งรถไฟมาเที่ยวทะเล คุณแม่ก็จะอธิบายให้ลูกฟังว่า คลื่นเป็นอย่างไร น้ำทะเลเป็นอย่างไร มีสิ่งมีชีวิตอะไรบนผืนทรายบ้าง เหมือนกับเปิดความสวยงามของโลกใบนี้ให้ลูกสาวได้เรียนรู้
"รู้สึกภูมิใจในตัวเขา ทุกวันนี้ที่เขาอยู่ได้ เพราะเขาเป็นคนอึดมาก อดทนสุด ๆ ก็เลยรู้สึกว่าลูกเก่งมากเลย ลูกสู้ไปกับแม่นะ ลูกสู้ได้ขนาดไหน ทำให้แม่ยิ่งต้องสู้ไปกับลูก เขาก็เป็นกำลังใจให้เราเป็นอดทนสูงมาก เขาสู้ได้ขนาดนี้ เราจะท้อไม่ได้ ต้องเป็นกำลังใจให้ลูก ลูกก็เป็นกำลังใจให้เรา" คุณแม่ปวีณา บอกอย่างมีความสุข
และเมื่อวันใดที่มีเวลาว่าง คุณแม่ก็จะพาลูกไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว เป็นการฝึกให้ลูกสาวกล้าที่จะเผชิญกับโลกใบนี้ อย่างเช่นการพาลูกนั่งรถไฟมาเที่ยวทะเล คุณแม่ก็จะอธิบายให้ลูกฟังว่า คลื่นเป็นอย่างไร น้ำทะเลเป็นอย่างไร มีสิ่งมีชีวิตอะไรบนผืนทรายบ้าง เหมือนกับเปิดความสวยงามของโลกใบนี้ให้ลูกสาวได้เรียนรู้
"รู้สึกภูมิใจในตัวเขา ทุกวันนี้ที่เขาอยู่ได้ เพราะเขาเป็นคนอึดมาก อดทนสุด ๆ ก็เลยรู้สึกว่าลูกเก่งมากเลย ลูกสู้ไปกับแม่นะ ลูกสู้ได้ขนาดไหน ทำให้แม่ยิ่งต้องสู้ไปกับลูก เขาก็เป็นกำลังใจให้เราเป็นอดทนสูงมาก เขาสู้ได้ขนาดนี้ เราจะท้อไม่ได้ ต้องเป็นกำลังใจให้ลูก ลูกก็เป็นกำลังใจให้เรา" คุณแม่ปวีณา บอกอย่างมีความสุข
ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเด็กหญิงวัย 4 ขวบ ที่อยู่ในโลกมืดมิดมาตั้งแต่เล็ก กลับเป็นเด็กที่มีความร่าเริงสดใส ช่างพูดช่างเจรจาอยู่เสมอ จนทำให้ผู้คนที่พบเห็นเธอหลงเสน่ห์ในความน่ารักของสาวน้อยคนนี้ นั่นก็เพราะเธอสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข หลังจากผ่านความเจ็บปวดและทรมานมามากมาย โดยมี "แม่" คอยอยู่เคียงข้างเธอเสมอมา
"แม้ดวงตาหนูจะบอดทั้งสองข้าง แต่โลกใบนี้สำหรับแม่และน้องฟ้าใสไม่เคยมืดมิดเลย เพราะตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ความหวังและความฝันของเราก็ยังไม่มืดหม่น....เราจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ ฟ้าใส ลูกของแม่...."
แม้ฟ้าใสจะมิอาจมองเห็นโลกที่สวยงาม หรือแม้กระทั่งใบหน้าของแม่ผู้ที่รักเธออย่างสุดหัวใจ แต่เชื่อได้เลยว่า นางฟ้าตัวน้อยคนนี้จะสัมผัสได้ถึงความรัก และความอบอุ่นที่ผู้เป็นแม่ส่งผ่านมาให้เธอด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์แน่นอน
แม้ฟ้าใสจะมิอาจมองเห็นโลกที่สวยงาม หรือแม้กระทั่งใบหน้าของแม่ผู้ที่รักเธออย่างสุดหัวใจ แต่เชื่อได้เลยว่า นางฟ้าตัวน้อยคนนี้จะสัมผัสได้ถึงความรัก และความอบอุ่นที่ผู้เป็นแม่ส่งผ่านมาให้เธอด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์แน่นอน
สำหรับใครที่หลงรักความน่ารักของสาวน้อยคนนี้ซะแล้ว และอยากให้กำลังใจเธอ ก็สามารถเข้าไปติดตามชมภาพน่ารัก ๆ ของเธอได้ใน เฟซบุ๊ก น้องฟ้าใส นางฟ้าของแม่ นะจ๊ะ ^^