เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สำนักข่าวไทย
ศาลสั่งเลื่อนอ่านอุทธรณ์ คดีเปมิกา หมิ่นประมาท นพ.ประกิตเผ่า เผย เปมิกา ต้องการไกล่เกลี่ยกับโจทก์ก่อน จึงนัดฟังพิพากษาใหม่อีกครั้งในวันที่ 28 มกราคมนี้
วันนี้ (21 มกราคม) ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลอาญาว่า ศาลมีคำสั่งเลื่อนอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.1973/2550 ที่ นางเพลินจิต และนพ.ประกิตพันธุ์ มารดาและพี่ชายของ นพ.ประกิตเผ่า เจ้าของสถาบันกวดวิชาชื่อดัง "แอพพลายส์ฟิสิกส์" เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางสาวเปมิกา หรือ อุ๋ย วีรชัชรักษิต อายุ 30 ปี อดีตเพื่อนสนิทของ นพ.ประกิตเผ่า เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่น และแจ้งความเท็จเพื่อให้บุคคลอื่นต้องรับโทษทางอาญาและเบิกความเท็จ
ในกรณีวันที่ 20 กุมภาพันธ์ - 9 มีนาคม 2550 นางสาวเปมิกา จำเลย ได้ใส่ความโจทก์ทั้งสองด้วยข้อความอันเป็นเท็จต่อ พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น สารวัตรสอบสวน สน.บางซื่อ ว่า นพ.ประกิตเผ่า มีปัญหากับครอบครัว ทั้งมารดา พี่ชาย และภรรยา เกี่ยวกับการบริหารสถาบันกวดวิชา และทำให้มารดาและพี่ชายวางแผนหลอกเอาตัวไปคุมไว้ที่ โรงพยาบาลศรีธัญญา เพื่อให้เป็นคนมีอาการโรคจิต และต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2550 จำเลยได้เบิกความเท็จดังกล่าวต่อศาลอาญา
โดยในวันนี้ ทั้งโจทก์และจำเลยไม่ได้เดินทางยังศาล แต่ให้มอบอำนาจให้ผู้แทนมาดำเนินการแทน ซึ่งผู้แทนฝ่ายจำเลยได้แถลงต่อศาลว่า จำเลยมีอาการป่วยจริง แต่จำเลยไม่มาศาล และฝั่งผู้แทนก็ไม่ได้มีใบรับรองแพทย์มา อีกทั้งทางฝ่ายจำเลยมีความประสงค์ที่จะไกล่เกลี่ยคดีกับโจทก์ก่อน ซึ่งศาลสอบถามโจทก์แล้วไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด จึงมีเหตุสมควรให้นัดฟังพิพากษาใหม่อีกครั้งในวันที่ 28 มกราคม เวลา 09.00 น. และกำชับผู้แทนให้โจทก์และจำเลยมาศาลให้ได้
สำหรับคดีดังกล่าว โจทก์ได้ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2550 ซึ่งศาลอาญามีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2552 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาททางโจทก์ได้ใช้เวลานานเกิน 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่รู้ว่าถูกกระทำให้ได้รับความเสียหาย ส่วนความผิดฐานแจ้งความเท็จ โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยแจ้งข้อความใดที่เป็นเท็จกับพนักงานสอบสวน ขณะที่ทางจำเลย ยืนยันว่าได้รับโทรศัพท์ จาก นพ.ประกิตเผ่า ว่าถูกกลุ่มบุคคลนำตัวไปกักขัง ขอให้ช่วยเหลือ และพยานที่เป็นผู้ช่วยผู้ป่วยโรงพยาบาลศรีธัญญาจริง นอกจากนี้ยังยืนยันว่า ให้โทรศัพท์เคลื่อนที่ นพ.ประกิตเผ่า ยืมใช้ จึงเชื่อว่าจำเลยทราบเหตุดังกล่าวแล้วไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน จึงเป็นการแจ้งความตามข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
