เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการเจาะข่าวเด่น โพสต์โดย คุณ เรื่องเล่า เช้านี้ สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
จากกรณีที่ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ตำรวจ สน.ร่มเกล้า แถลงรวบโจรตกทองได้ยกแก๊ง รวมทั้งสิ้น 6 ราย ยึดของกลางเป็นทรัพย์สินมูลค่ามากมาย พร้อมรับสารภาพทำมา 5 ปี หลอกลวงทรัพย์สินเหยื่อกว่า 40 ครั้ง ทั้งนี้ รายการเจาะข่าวเด่น (13 มีนาคม) จึงได้เชิญหนึ่งในเหยื่อขบวนการตกพระ คือ คุณตะติยา สีดาฟอง หรือ หนู เพื่อมาบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นอุทาหรณ์ให้แก่คนที่อาจตกเป็นเหยื่อต่อไป เพราะแก๊งเหล่านี้มีเยอะ และยังลอยนวลอยู่ก็มี
โดยคุณตะติยา เริ่มเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ตอนเกิดเหตุประมาณบ่าย 2 โมง เรากดเงินอยู่ที่ตู้ ATM ที่มีนบุรี พอเรากดเสร็จ หันหลังมา ก็มีคนมาสะกิดถามทาง เราก็บอกไปว่า ไม่ทราบ แต่เขาก็ยังถามอีกเรื่อย ๆ สักพักก็มีหนึ่งในแก๊งคนร้าย ทราบภายหลังชื่อ น.ส.นิภาพร บุญกุศล เดินเข้ามาพร้อมโชว์สร้อยพระ บอกว่า หนูมีพระ หนูต้องการจะไปขาย เอาเงินไปรักษาพ่อที่นอนอยู่โรงพยาบาล หนูต้องการ 200,000 บาท จากนั้น อีกหนึ่งคนร้ายคือ น.ส.วิลาวรรณ์ กิ่งกล่อม ทำทีเดินเข้ามาบอก น.ส.นิภาพร ว่า พระนี้ดีอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นพระวัดระฆัง มีราคา มีมูลค่านะ อย่าเที่ยวเดินโชว์พระให้ใครเห็นแบบนี้ เดี๋ยวคนที่เช่าพระแถวนี้เขาเห็น จะเป็นอันตรายได้นะ
จากนั้น น.ส.วิลาวรรณ์ ก็พูดออกมาว่า เอางี้ ถ้าน้องต้องการจะขาย พี่รู้จักกับร้านทองที่อยู่ร่มเกล้า เดี๋ยวจะโทรไปถามว่าจะให้ราคาเท่าไหร่ยังไง ว่าแล้ว น.ส.วิลาวรรณ์ ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาคุย ก่อนยื่นให้ คุณตติยา คุย โดยไม่ทันตั้งตัว คุณตติยา บอกว่า เสียงปลายสายเป็นผู้ชาย ถามว่า น้องได้พระอะไรมา เราก็ตอบไปว่า พระวัดระฆัง ผู้ชายในสายก็บอกว่า อ้อ พระวัดระฆัง พระดีมากเลยนะ พี่ให้ไปเลย 700,000 บาท
เมื่อคุยโทรศัพท์กันเสร็จสรรพ คุณตะติยา ก็หันไปบอก น.ส.นิภาพร ที่มาขายพระว่า พระหนูมีมูลค่า 700,000 บาทนะ ถึงหนูต้องการ 200,000 บาท แล้วใครมาเสนอซื้อก็ให้ขายไปตามราคาจริงนะ ในขณะนั้น น.ส.วิลาวรรณ์ ก็พูดว่า ถ้าอย่างงั้นไปที่ร้านเลยดีกว่า เดี๋ยวออกค่าแท็กซี่ให้ ทางด้าน น.ส.นิภาพร ที่แสดงบทเป็นคนขายพระ ก็ไหว้ขอร้องให้คุณตะติยาไปเป็นเพื่อนด้วย โดยบอกว่า ไม่ไว้ใจ น.ส.วิลาวรรณ์ เพราะเขารู้จักกับร้านทอง ขณะที่คุณตติยา กำลังยืนคิด น.ส.วิลาวรรณ์ ก็มาสะกิด บอกว่า ไปด้วยกันสิ เดี๋ยวส่วนต่างเรามาแบ่งกัน ซึ่งทางคุณตะติยาบอกว่า พอได้ยินประโยคนี้ ตนก็คิดว่า น.ส.วิลาวรรณ์ ต้องโกง น.ส.นิภาพร แน่เลย กลายเป็นสงสาร น.ส.นิภาพร ไปซะงั้น เลยนั่งแท็กซี่ไปด้วย
แต่แล้วปรากฏว่า คนขับแท็กซี่คันดังกล่าวก็เป็นคนร่วมขบวนการด้วย เมื่อขึ้นรถ คุณตะติยาก็นั่งเงียบ ๆ แต่ทั้ง 3 คนนั้นก็เริ่มแสดงละครให้ คุณตะติยา ตายใจ โดย น.ส.นิภาพร ที่บอกกับ น.ส.วิลาวรรณ์ ว่า พี่หนูขอเงินมัดจำก่อนนะ 200,000 บาท หนูต้องใช้เงินสด ก่อนหันโชว์พระให้คนขับแท็กซี่ดู คนขับแท็กซี่ก็ชมพระว่ามูลค่าสูงเช่นกัน จากนั้น น.ส.วิลาวรรณ์ ก็พูดว่า พี่จะเอาเงิน 200,000 บาท มาจากไหนอ่ะ มนุษย์เงินเดือนอย่างเราคงไม่มีเงินมากขนาดนั้น อ่ะพี่ให้เงินพร้อมกระเป๋าตังค์ที่มีอยู่ พร้อมสร้อยคอที่ห้อยอยู่ และก็โทรศัพท์มือถือพี่เลย
อย่างไรก็ดี น.ส.นิภาพร ก็แสดงละครต่อไป โดยหันมาบอกคุณตะติยา ว่า พี่ หนูไม่อยากให้พระพี่คนนี้เลย (น.ส.วิลาวรรณ์) พี่ช่วยเอาพระไปขายให้หนูได้ไหม โดยไม่รอช้า น.ส.วิลาวรรณ์ ก็หยิบพระจาก น.ส.นิภาพร มาใส่กระเป๋าคุณตะติยา พร้อมบอกว่า ดูซิ เขาไม่ไว้ใจพี่ แต่เขาไว้ใจน้องหนูนะ คุณตะติยา ก็พยายามปฏิเสธ และบอกว่า ไม่อยากไป แต่ น.ส.วิลาวรรณ์ ก็ตื้อ บอกว่า ก็น้องเขาไม่ไว้ใจพี่ เอางี้ น้องหนูเปิดกระเป๋าตังค์ให้ดูเลยว่า ไม่มีเงินมัดจำถึง 200,000 หรอกนะ น.ส.วิลาวรรณ์ พูดไปพลางหยิบกระเป๋าตังค์คุณตะติยาออกมาโดยพลการ หยิบเงินออกมานู่นนี่ ก่อนพยายามหว่านล้อมคุณตะติยาอีกว่า น้องแค่มัดจำพระไป เดี๋ยวเราก็ได้คืน
จากนั้น น.ส.วิลาวรรณ์ จึงโทรหาเฮียร้านทองที่ร่มเกล้าคนเดิม และยื่นให้ คุณตะติยา คุยโดยไม่ทันตั้งตัว ซึ่งถามคุณตะติยาว่า มีอะไรมามัดจำ คุณตะติยา ที่ตอนนั้นยังไม่ได้สติอะไร แต่ปากก็พูดไปบอกว่า มีแบล็กเบอร์รี่ 1 เครื่อง เงินสด 3,500 บาท สร้อยคอ 50 สตางค์ นาฬิกา 1 เรือน ก่อนที่เฮียร้านทองจะบอกว่า งั้นเฮียให้ค่ามัดจำเพิ่มอีก 20,000 บาท ให้รีบ ๆ มาด้วยนะ อย่าเพิ่งไปขายให้ใครนะ ก่อนวางสายไป
ณ วินาทีนั้น คุณตะติยา ก็เริ่มถอดสร้อย ถอดนาฬิกาออกมา ส่งให้ น.ส.นิภาพร ซึ่ง คุณตะติยา เผยว่า ตอนที่ถอดนั้น รู้สึกตัวทุกอย่าง แต่ไม่รู้ทำไมถึงถอดไป ในใจกำลังคิดสับสนว่า ใครโดนหลอกกันแน่ ใจหนึ่งก็สงสาร น.ส.นิภาพร ต่อมาพอถึงร่มเกล้า คุณตะติยา ก็อยากรีบเอาพระไปขาย เพราะอยากได้ของตัวเองคืนมา จากนั้น น.ส.วิลาวรรณ์ ก็บอกให้ คุณตะติยาไปขายพระคนเดียว คุณตะติยา ก็เริ่มเอะใจว่า ทำไมถึงไม่ไปด้วยกันทั้ง 3 คนเลย แต่จากนั้น น.ส.วิลาวรรณ์ ก็บอกให้ คุณตะติยา สาบานว่า ต้องกลับมานะ จะนั่งกินข้าวรออยู่แถวนี้
พอคุณตะติยา ไปถึงที่ น.ส.วิลาวรรณ์ กลับบอกไม่มีร้านทองสักร้าน คุณตะติยา จึงเริ่มรู้ตัวว่า โดนหลอกแน่ ๆ เลยโทรเข้าเบอร์มือถือตัวเอง แต่พบว่า ปิดเครื่องไปแล้ว จากนั้น คุณตะติยา จึงเดินเข้าร้านทองแถวนั้น ก่อนเอาพระออกให้ดู ถามว่า เป็นพระทองจริงหรือไม่ คำตอบที่ร้านทองตอบกลับมาทำเอาคุณตะติยาอึ้ง เพราะทองที่ว่า เป็นทองปลอม จากนั้น คุณตะติยา ได้ไปถามร้านเช่าพระ ก็ได้คำตอบกลับมาอีกว่า เป็นพระปลอม เธอจึงเดินกลับไปที่ร้านอาหาร แต่ทั้งสองคนนั้นก็ไม่อยู่แล้ว
สุดท้าย คุณตะติยา บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดจากความใจอ่อน ขี้สงสารของเธอเป็นเหตุ คิดว่า ไม่ได้มีเรื่องของความโลภเข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอน เพราะตอนนั้น ความรู้สึกลึก ๆ ของตน คือ รู้สึกสงสาร น.ส.นิภาพร ที่แกล้งแสดงเป็นเหยื่อ พ่อป่วย เธอเลยฝากเตือนว่า สังคมสมัยนี้ อยู่ยากขึ้นทุกวัน รู้หน้าไม่รู้ใจ อย่าพยายามอยู่คนเดียว ถ้าเกิดเหตุในลักษณะนี้อีกให้พยายามเลี่ยงเดินไปหากลุ่มคนเยอะ ๆ เป็นดีที่สุด
