เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
อภิสิทธิ์ เตือนรัฐบาลพิจารณาข้อเสนอเรื่องภาคใต้ปกครองตนเองอย่างรอบคอบ และควรวางกรอบที่จะคุยกับบีอาร์เอ็น ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ ให้ชัดเจน อย่าทดลองนโยบายบนความสูญเสียรายวัน
วันนี้ (7 มิถุนายน 2556) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เสนอให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเขตปกครองพิเศษว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซียแสดงความเห็นในลักษณะนี้มาหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องดูว่า เจตนาคืออะไร
ส่วนหนึ่งเป็นความพยายามยืนยันว่า ไม่ได้เกี่ยวกับมาเลเซีย แต่การสื่อสารต้องระวัง เพราะเวลาแปลคำพูดออกมาอาจมีความเข้าใจต่างกันไป ซึ่งตนเคยพูดเรื่องหลักการกระจายอำนาจกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียไปแล้วว่า ประเทศไทยพยายามทำอยู่ แต่เมื่อแปลเป็นภาษาอังกฤษ จะใช้คำว่าปกครองตนเองเป็นอิสระ ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด
ส่วนที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตอบรับข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียนั้น ตนคิดว่า ถ้าอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญก็ไม่มีปัญหา เพราะการกระจายอำนาจต้องทำเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว โดยพรรคประชาธิปัตย์กำลังเตรียมเรื่องการโอนอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มากขึ้น ซึ่งอาจจะรวมไปถึง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมามีการยกกรณีอาเจะห์มาเป็นโมเดล เรื่องนี้จะขัดกับกรอบรัฐธรรมนูญของไทยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในแต่ละพื้นที่มีเงื่อนไขต่างกัน จึงต้องระมัดระวัง ตนพบชาวต่างชาติหลายกลุ่มที่ห่วงใยในเรื่องนี้ คนที่ติดตามก็เข้าใจว่า เงื่อนไขของภาคใต้ไม่เหมือนกับที่อื่น เพราะกลุ่มที่ก่อความรุนแรงไม่เปิดเผยตัวตน และไม่แสดงความรับผิดชอบ แต่กลับมีอีกกลุ่มมาพูดคุยแทน และยอมรับด้วยว่า ไม่สามารถควบคุมสภาพความรุนแรงในพื้นที่ได้
อย่างไรก็ตาม มาเลเซียเคยมีบทบาทในกรณีอื่นมาก่อน จึงพยายามสื่อสารให้เห็นว่า ต้องการช่วยเหลือ สำหรับรัฐบาลไทยก็ต้องเดินตามกรอบที่เขียนไว้ในการแสดงเจตนาที่จะพูดคุยว่า ต้องอยู่ใต้กรอบรัฐธรรมนูญไทย ดังนั้นทั้ง 5 ข้อที่กลุ่มบีอาร์เอ็นเสนอเป็นเรื่องที่รับไม่ได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีการเปลี่ยนความรับผิดชอบเป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยมาพบตนที่สภา ตนก็บอกไปแล้วว่า การจะพูดคุยต่อโดยไม่มีความชัดเจนว่า จะช่วยลดความรุนแรงในพื้นที่ระหว่างการพูดคุยได้หรือไม่ อาจไม่ได้สร้างประโยชน์ และทำให้ความรุนแรงในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องปรับให้เกิดความเหมาะสม ไม่ควรใช้วิธีทดลองนโนบายไปเรื่อย ๆ เพราะเป็นการทดลองบนความสูญเสียที่เกิดขึ้นรายวัน
การที่ ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่า หากคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็นไม่ได้ผล อาจเปลี่ยนกลุ่มพูดคุยนั้น ต้องยึดหลักว่า การพูดคุยต่อต้องมีกรอบและเงื่อนไขที่ชัดเจน และคงรีบพูดว่าจะยุติการพูดคุยไม่ได้ เนื่องจากอาจทำให้เกิดการกดดัน ซึ่งคงต้องแสดงเจตนาว่า เป็นการพูดคุยกันบนพื้นฐานความจริงใจที่จะนำไปสู่ความสงบ ดังนั้นในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ ต้องพูดให้ชัดว่า จะพูดคุยอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีความก้าวหน้าในการนำไปสู่ความสงบไม่ได้
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
