ทนายสุวัตร เผย บอล สันติภาพ แฉ คนมีสีจ้าง 3 ล้าน ฆ่าเอกยุทธ อัญชันบุตร


ทนายเอกยุทธ อัญชันบุตร


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยพีบีเอส

          ทนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ขอถอนตัวจากคดีแล้ว หลังถูกข่มขู่หนัก ด้าน บอล สันติภาพ อ้าง คนมีสีจ้าง 3 ล้าน ให้อุ้มฆ่าเอกยุทธ แต่ยังได้เงินไม่ครบ

          เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2556 นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความในคดีการเสียชีวิตของ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร เปิดเผยว่า ตนเองได้ถอนตัวจากการเป็นทนายความในคดีของนายเอกยุทธแล้ว หลังจากที่ผ่านมาถูกข่มขู่มาตลอด จึงเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย เพราะทราบว่ามีคนร้ายจะดักฆ่าตนที่ถนนแห่งหนึ่ง โดยใช้รถบรรทุกทราย 2 คันวิ่งประกบหน้าหลัง แล้วอัดก๊อบปี้

           
นอกจากนี้ นายสุวัตร ยังระบุว่า ทางญาติของนายเอกยุทธไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าที่ควร เพราะก่อนหน้านี้ มีญาติของนายเอกยุทธบางคนมาตำหนิว่า ทำไมไม่ให้เรื่องจบ ดังนั้น วันนี้ ตนจึงขอประกาศว่า ตนจะเลิกยุ่งเกี่ยวคดีการเสียชีวิตเอกยุทธ แต่จะดำเนินการเพียงคดีค้างเก่าของนายเอกยุทธ ที่อยู่ในชั้นศาลให้แล้วเสร็จเท่านั้น แม้ว่าจะมีปมหลายอย่างยังไม่ชัดเจน อาทิ การตรวจสอบของคณะกรรมการสิทธิฯ ที่ลงพื้นที่ไปตรวจสอบมาล่าสุด

          ขณะเดียวกัน นายสุวัตร ยังเผยด้วยว่า นายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือ บอล ผู้ต้องหาฆ่านายเอกยุทธที่ถูกคุมขังที่เรือนจำ ได้ติดต่อว่าต้องการพบตน ตนจึงส่งทนายไปพบ และนายสันติภาพได้สารภาพผ่านทนายความที่ตนส่งไปพบในเรือนจำว่า ไม่ได้เป็นผู้ฆ่านายเอกยุทธ แต่เป็นการลงมือของคนมีสี และมีการลงมือถึง 3 ครั้ง โดย 2 ครั้งแรกไม่สำเร็จ ส่วนนายสันติภาพนั้น มีหน้าที่รับส่งศพไปทิ้งในราคา 3 ล้านบาท แต่ถูกเบี้ยวค่าจ้าง ยังจ่ายเงินให้ไม่ครบ จึงอยากให้ช่วยประสานและรื้อคดีขึ้นมา แต่ตนเองเห็นว่าไม่ปลอดภัยและยังเลื่อนลอย จึงตัดสินใจขอถอนตัวดีกว่า

 

เอกยุทธ อัญชันบุตร



[13 สิงหาคม 2556] กสม. สรุปคดีอุ้มฆ่า เอกยุทธ อัญชันบุตร พบพิรุธทีมฆ่ามืออาชีพ

          คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เผยผลสรุปคดีฆาตกรรม เอกยุทธ อัญชันบุตร โดยระบุว่า น่าจะเป็นทีมฆ่ามืออาชีพ เพราะมีร่องรอยบาดแผลน่าสงสัยตามร่างกาย

          เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชน ในฐานะประธานอนุกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง แถลงผลการตรวจสอบการเสียชีวิตของ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดังด้านอสังหาริมทรัพย์ว่า จากการตรวจสอบรายงานของแพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพ พบว่า การเสียชีวิตของนายเอกยุทธ ไม่ได้ถูกฆ่ารัดคอ หรือถูกบีบคอตามที่พนักงานสอบสวนและผู้ต้องหาระบุ 

          โดยสาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากการถูกกระทำให้ขาดอากาศหายใจโดยใช้ท่าพิเศษ ซึ่งเป็นกระบวนการโดยมืออาชีพ หลังจากพบร่องรอยบาดแผลจากการชันสูตร 3 แห่ง ได้แก่ 


          1. บริเวณปลายจมูกมีรอยฟกช้ำ ส่วนโคนลิ้นและลิ้นด้านซ้าย รวมถึงเนื้อเยื้อลำคอด้านขวา ไม่พบรอยบีบรัดแต่อย่างใด จึงคาดว่า มีการกดบีบลำคอกับปิดกั้นจมูกทำให้ขาดอากาศหายใจ และท่านี้ทำให้เสียชีวิตได้ในเวลาไม่นาน

          2. พบบาดแผลที่หัวไหล่ขวาและสะบักซ้ายด้านหลัง ซึ่งเกิดจากการกระทำของผู้ที่อยู่ด้านหลังนายเอกยุทธ และเห็นว่า นายเอกยุทธน่าจะต่อสู้ จึงทำให้กล้ามเนื้อคอด้านหลังฟกช้ำ 

          3. พบบาดแผลอีก 2 แห่ง ที่ข้อมือและส้นเท้า เกิดจากการถูกพัธนาการในบริเวณจำกัด ทำให้นายเอกยุทธ์ไม่สามารถต่อสู้ดิ้นรนได้


          นพ.นิรันดร์ กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นที่ 2 คือการเปลี่ยนแปลงสภาพศพหลังเสียชีวิต ซึ่งมีการเคลื่อนศพจาก กทม. ไปพัทลุง และเคลื่อนจากเขาจิ้งโจ้ จ.พัทลุง มาตรวจพิสูจน์ที่ กทม. ทั้งหมดเป็นกระบวนการที่มีการเตรียมการชัดเจนจากผู้ชำนาญการในการฆ่าคน ไม่ใช่เรื่องของผู้ต้องหาไม่กี่คน โดยมีเหตุผลสนับสนุนคือ 

          1. การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ห่อศพ และลำเลียงศพจาก กทม. ไปพัทลุง 

          2. หลังการเสียชีวิตมีการถอดเสื้อผ้าและเครื่องประดับออก เหลือแต่เสื้อกล้ามคอวีกับกางเกงบ็อกเซอร์ ลักษณะการห่อศพซึ่งรัดด้วยวัสดุผูกมัด เป็นเทคนิคเฉพาะของผู้มีความรู้และความชำนาญ

          3. มีความเชื่อว่า ศพถูกเก็บไว้ในที่ปิดมิดชิด เช่น รถตู้ไม่เกิน 3 วัน เพราะไม่พบหนอนในศพ แสดงว่า ศพนายเอกยุทธถูกห่อหุ้มอย่างดี ส่วนการขุดหลุมฝังก็ไม่ลึกไม่เกิน 50 เซนติเมตร แสดงว่าไม่ต้องการปกปิดศพ และศพอยู่ในหลุมไม่เกิน 1 วัน จึงสันนิษฐานว่า เป็นกระบวนการที่มีการเตรียมการ ไม่ต้องการปิดบังศพ แต่ต้องการเปิดเผยเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง จึงไม่อยากให้ตำรวจเร่งสรุปสำนวนว่าเป็นคดีฆ่าชิงทรัพย์

          ทั้งหมดคือสิ่งที่ กสม. ตรวจพบ ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่แพทย์ผู้พบศพคนแรกที่ จ.พัทลุง สันนิษฐานไว้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากญาติของนายเอกยุทธ ไม่เชื่อมั่นการทำงานของกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพราะมีประเด็นขัดแย้งกันอยู่ ดังนั้นในช่วงเช้าวันที่ 13 สิงหาคม 2556 ญาติจึงได้แจ้งความต่อกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อขอเปลี่ยนคณะพนักงานสอบสวน 

          นพ.นิรันดร์ กล่าวในช่วงท้ายว่า กสม. ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากตำรวจในการตรวจสอบพยานหลักฐานหลายชิ้น เช่น ไม่ให้ตรวจสอบรถตู้ เพราะตำรวจยังมอง กสม. ด้วยความไม่เข้าใจ คิดว่าไปจับผิด แต่ กสม. แค่ปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกร้อง โดยตรวจสอบการทำงานของตำรวจว่า ได้มาตรฐานในการบอกความจริงต่อสังคมหรือไม่ ก่อนจะทำรายงานเสนอให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พิจารณาต่อไป 



          ด้าน คุณหญิง พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะที่ปรึกษา กสม. กล่าวว่า ข้อมูลทั้ง 3 ประเด็นที่ กสม. สรุปมานี้ ถือเป็นหัวข้อสำคัญ ที่พนักงานสอบสวนควรรับฟัง เพราะสอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งคดีนี้ถือเป็นคดีตัวอย่าง ที่ทำให้เห็นว่า ประเทศไทยไม่เคยตระหนักเรื่องกระบวนการยุติธรรม ว่าเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย จึงไม่มีการพัฒนาความโปร่งใส ดังนั้นควรมีการแก้ไขที่ต้นทาง ไม่เช่นนั้นอาจนำไปสู่การแสวงหาประโยชน์อื่น ๆ ได้

          ขณะที่ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีฆาตกรรม นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ให้สัมภาษณ์ว่า พนักงานสอบสวนมีหน้าที่ทำตามพยานหลักฐานที่ทำการตรวจสอบพบ รวมถึงรายงานทางการแพทย์ ที่มีการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งคนอื่นจะทำอย่างไรก็เป็นสิทธิที่จะดำเนินการไป แต่ยืนยันว่า การสรุปสำนวนคดีและให้น้ำหนักตามพยานหลักฐาน ได้ผ่านการตรวจสอบแล้วตามกฎหมาย

          นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่ได้นำข้อมูลการสอบสวน พร้อมสำนวนรายละเอียดคดีการเสียชีวิตของ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร เข้าชี้แจงในการประชุมร่วมกับ กสม. แล้ว แต่ไม่มีการหยิบยกข้อมูลดังกล่าวมาพิจารณาด้วยแต่อย่างใด จึงกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า การกระทำดังกล่าวของ กสม. เสมือนเป็นการนำข้อมูลมาเสนอเพียงด้านเดียว และทำให้การสรุปสำนวนคดีขาดความน่าเชื่อถือด้วย



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
 


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ทนายสุวัตร เผย บอล สันติภาพ แฉ คนมีสีจ้าง 3 ล้าน ฆ่าเอกยุทธ อัญชันบุตร อัปเดตล่าสุด 15 สิงหาคม 2556 เวลา 10:04:53 50,233 อ่าน
TOP
x close