เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
นายตำรวจรายหนึ่ง คาด คดีอุ้มฆ่า เอกยุทธ อัญชันบุตร ผิดแผน เชื่อ เบิ้ม-บอล ต้องตายแต่แรก แต่กลับถูกจับเป็นผู้ต้องหา หวั่นถูกฆ่าปิดปากหลังจากนี้ หลังเริ่มปูดข้อมูลคนมีสี แนะชุดสืบสวนตรวจคอมพิวเตอร์ที่หายไป-รอยรองเท้าคอมแบท ไขความจริง
คดีอุ้มฆ่านายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดัง กลับมาอยู่ในกระแสข่าวอีกครั้ง หลังจากคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยผลการชันสูตรศพนายเอกยุทธ ว่า ไม่ได้ถูกฆ่ารัดคอ หรือถูกบีบคอตามที่พนักงานสอบสวนและผู้ต้องหาระบุ นอกจากนี้ยังพบเงื่อนงำอันเป็นพิรุธอีกหลายอย่าง จึงตั้งข้อสังเกตว่า ทีมอุ้มฆ่านายเอกยุทธน่าจะเป็นมืออาชีพ
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2556 นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความส่วนตัวของนายเอกยุทธ ได้ระบุว่า นายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือ บอล อดีตคนขับรถที่ก่อเหตุสังหารนายเอกยุทธ และปัจจุบันถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ยอมรับสารภาพว่า มีกลุ่มคนมีสีจ้างวานให้ตนเองอุ้มฆ่านายเอกยุทธ โดยที่ผ่านมาเคยลงมือมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ มาสำเร็จในครั้งที่ 3
จากข้อมูลที่อ้างถึง "ทีมฆ่ามืออาชีพ" และ "คนมีสี" ในครั้งนี้ ทำให้สำนักข่าวอิศราเดินหน้าตรวจสอบข้อเท็จจริง จนได้รับทราบข้อมูลจากนายตำรวจยศ พ.ต.อ. รายหนึ่ง ที่ตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องนี้ไว้ว่า เชื่อว่าทีมฆ่านายเอกยุทธครั้งนี้จะมีทั้งหมด 4 ทีม ประกอบด้วยทีมแกะรอยนายเอกยุทธเพื่อวางแผนฆ่า ทีมสังหาร ทีมอำพรางทำลายหลักฐาน และทีมทำลายศพ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นมืออาชีพ โดยอาจเริ่มกระบวนการตั้งแต่การโยกย้าย พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ มาเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม เพื่อไม่ให้คุณหญิงเข้ามาร่วมตรวจพิสูจน์หลักฐาน
สำนักข่าวอิศรา รายงานอ้างคำกล่าวของ พ.ต.อ. รายนี้ต่อว่า คาดว่าในแผนการฆาตกรรมตอนแรกนั้น นายสันติภาพ น่าจะต้องตายตั้งแต่แรก แต่เกิดเหตุผิดพลาดขึ้น เนื่องจากแต่ละทีมไม่รู้กัน ทำให้นายสันติภาพถูกเปิดเผยโฉมหน้ากับสื่อมวลชนในฐานะผู้ต้องสงสัย ข้อมูลที่ยืนยันเรื่องนี้ได้ก็คือ คำให้การของ นายสันติภาพและนายสุทธิพงศ์ หรือ เบิ้ม พิมพิสาร ขัดแย้งกันมาก เพราะทั้งคู่ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องกลายมาเป็นผู้ต้องหานั่นเอง ตอนนี้จึงเหมือนถูกหลอกขอให้ยอมรับไปก่อน
แหล่งข่าวคนนี้ ยังบอกด้วยว่า หากตั้งข้อสังเกตดี ๆ จะเห็นได้ชัดว่า ตอนที่นายสันติภาพถูกเปิดเผยตัวต่อสาธารณะนั้น มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่รายหนึ่งหัวเสียอย่างมากกับการให้ข่าวเช่นนี้ และก็มั่นใจว่า ทั้งนายสันติภาพ และนายสุทธิพงศ์ ต่างก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง หรืออาจจะเริ่มระแคะระคายแล้วว่าอีกไม่นานอาจจะถูกฆ่า จึงยอมพูดในบางเรื่อง ดังนั้น คนที่บงการอาจจะฆ่าปิดปากทั้งคู่ เพราะเกรงว่าหากอยู่ต่อหน้าศาล ทั้งสองคนอาจจะยอมรับสารภาพก็ได้ว่าใครเป็นผู้จ้างวาน เพราะแต่เดิมนายสันติภาพก็ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องถูกจับอยู่แล้ว ขณะที่ผู้บงการก็คิดจะลงมือฆ่าปิดปากทั้งสองคน แต่กระแสสังคมยังแรงอยู่ จึงยังไม่กล้าลงมือ
นอกจากนี้ ยังพบพิรุธอีกหลายข้อที่เห็นได้ชัดจากคดีนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่ไม่สามารถเห็นว่าใครมายืนรอนายสันติภาพและนายสุทธิพงศ์ ร่องรอยของบุคคลที่ 3 ในรถตู้คันเกิดเหตุ รวมทั้งร่องรอยการต่อสู้ของนายเอกยุทธเพื่อเอาชีวิตรอด ซึ่งก็พบรอยรองเท้าคอมแบทของนายเอกยุทธที่จิกลงไปในเนื้อผิวของรถ แต่ไม่ทราบว่าพนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบเรื่องนี้หรือไม่
สิ่งที่ต้องตรวจสอบอีกอย่างก็คือ คอมพิวเตอร์ของนายเอกยุทธ ที่จนป่านนี้ก็ยังไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน มีข้อมูลอะไรอยู่บ้าง ซึ่งต้องไม่ลืมว่า นายเอกยุทธก็อยู่ในฐานะสื่อมวลชนคนหนึ่งที่ตีแผ่เรื่องของรัฐบาล การสังหารครั้งนี้จึงเท่ากับว่าสื่อมวลชนถูกฆาตกรรม ดังนั้น ควรตรวจสอบเรื่องคอมพิวเตอร์ที่หายไปอย่างจริงจัง และสังคมต้องไม่ไขว้เขวว่านี่เป็นการฆ่าชิงทรัพย์ เพราะไม่มีการฆ่าชิงทรัพย์ที่ไหนที่คนร้ายจะย้อนกลับไปเอาคอมพิวเตอร์ของนายเอกยุทธถึงที่บ้าน
ในตอนท้าย พ.ต.อ. รายนี้ ยังให้ตรวจสอบสำนวนคดีว่ามีเรื่องคอมพิวเตอร์ และร่องรอยรองเท้าคอมแบทในรถตู้หรือไม่ หากไม่มีก็ควรเปลี่ยนพนักงานสอบสวนชุดใหม่ เพราะเท่ากับว่าพนักงานสอบสวนละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ขณะที่อัยการก็ต้องเสาะแสวงหาข้อเท็จจริงให้ถึงที่สุด อย่าตกอยู่ใต้อิทธิพลของตำรวจเสียเอง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
สำนักข่าวอิศรา