กมธ. จัดถกข้อดี-ข้อเสีย สร้างเขื่อนแม่วงก์ ยังไร้ข้อสรุป

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  คุณ LAKORNHD ThaiTV สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม, สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์,

          ไร้ข้อสรุป ! สร้างเขื่อนแม่วงก์ หลังกรรมาธิการ จัดหารือส่วนที่เกี่ยวข้องชี้แจงรายละเอียด รองอธิบดีกรมชลประทาน หนุนเอาจีนเป็นตัวอย่าง สร้างเขื่อน 3 ผา อพยพคนกว่า 2 แสนล้าน ยังทำได้

          เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2556 รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 รายงานว่า วานนี้ (25 กันยายน) มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) คณะหนึ่งของสภาฯ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นการเชิญผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างเขื่อนแม่วงก์โดยตรงเข้ามาชี้แจงรายละเอียด ประกอบด้วย นายสันติ บุญประดับ เลขาธิการสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายชัชวาล ปัญญาวาทินันท์ รองอธิบดีกรมชลประทาน ฝ่ายวิชาการ และนายเกื้อศักดิ์ ทาทอง ในฐานะหัวหน้ากลุ่มสิ่งแวดล้อมของโครงการ

          ทั้งนี้ นายสันติ กล่าวยอมรับว่า การก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์จะก่อให้เกิดประโยชน์และผลกระทบไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งในขณะนี้เห็นว่าการสำรวจเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม (EHIA) ยังเป็นการคุยกันเพียงด้านเดียว ผลที่ออกมาจึงยังไม่รอบด้าน จึงอยากให้ทำการศึกษาในสัดส่วนที่เหมาะสมก่อน

          โดยส่วนตัวมองว่า หากจะมีการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์จริง เห็นว่าพื้นที่ตรงเขาชนกันน่าจะเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมกว่าพื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ แต่ก็ยังติดปัญหาตรงที่ในพื้นที่เขาชนกันได้มีชาวบ้านรุกป่าเข้าไปจับจองพื้นที่ทำกินมาเป็นเวลานาน รวมแล้วประมาณ 2,000 กว่าครัวเรือน ซึ่งถ้าใช้วิธีการให้ชาวบ้านเสียสละพื้นที่ส่วนหนึ่งให้ทำการก่อสร้างเขื่อนน่าจะเป็นผลดีกว่า จากนั้นก็ใช้วิธีการเยียวยาชาวบ้านแทน

          ขณะที่ นายชัชวาล กล่าวว่า ในการดำเนินการก่อสร้างเขื่อน ทุกประเทศเกิดปัญหาหมด มีทั้งผู้คัดค้านและผู้เห็นด้วย เช่น เขื่อน 3 ผา ของจีน ที่ต้องใช้เวลาในศึกษาไปจนก่อสร้างเสร็จ รวมทั้งหมด 99 ปี และมีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่การก่อสร้างมากถึง 2 แสนล้านคน แต่เขาก็ต้องทำ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเขื่อนแม่วงก์หรือว่าเขื่อนไหนที่รัฐบาลไทยคิดจะดำเนินการ ถ้ามีความมุ่งมั่นก็ต้องทำได้ แต่ต้องอาศัยเวลา การเดินหน้าสร้างเขื่อนแม่วงก์เพิ่งจะผ่านมาแค่ 30 ปี ถือว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะลงมือ เพราะยังมีความคิดของหลายฝ่ายที่ยังเห็นไม่ตรงกันอยู่ ถ้าเดินหน้าจะเกิดสงคราม เพราะฉะนั้นจะต้องไปหาจุดที่พอดี

          ด้าน นายเกื้อศักดิ์ กล่าวว่า ผลประโยชน์ที่ได้จากเขื่อนแม่วงก์จะช่วยเหลือภาคการเกษตรได้กว่า 3 แสนไร่ เกษตรกรจะสามารถเพาะปลูกได้ทุกฤดู เพิ่มรายได้ให้เกษตรกรจาก 700 บาทต่อกิโลกรัมต่อไร่ เป็น 800-860 บาทต่อกิโลกรัมต่อไร่ นอกจากนี้ยังมีรายได้เสริมอื่น ๆ อีก เช่น การเลี้ยงปลา เลี้ยงกบ ฯลฯ ส่งผลให้รายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้นเป็น 285,000 บาทต่อครัวเรือนต่อปี จากเดิมที่ได้เพียง 160,000 บาทต่อครัวเรือนต่อปี นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาเหตุการณ์น้ำท่วมในลุ่มแม่น้ำวงก์ได้ด้วย

          แต่ผลกระทบความเสียหายในการตัดไม้ มูลค่าน่าจะอยู่ที่ประมาณพันล้านบาท ซึ่งทางกรมชลประทานได้ไปหารือกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชแล้ว ว่าจะมีการปลูกป่าชดเชยให้ในพื้นที่ 30,000 ไร่ และทางกรมชลประทานจะทำการจัดงบประมาณ ทั้งในการปลูกต้นไม้และการดูแลอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปี โดยที่จะไม่มีการตัดถนนเข้าป่า

          นายเกื้อศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนสัตว์ป่าที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์มีอยู่ประมาณ 239 ชนิด ครึ่งหนึ่งเป็นนก ประมาณ 136 ชนิด ที่เหลือเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เมื่อมีการสร้างเขื่อน สัตว์เหล่านี้ก็จะสูญเสียที่อยู่อาศัย แต่นกสามารถอพยพเข้าไปอยู่ในป่าลึกได้ ส่วนสัตว์สงวน 3 ชนิด คือ กวางผา เก้งหม้อ และสมเสร็จ อยู่ในพื้นที่สูงอยู่แล้ว จึงไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด สำหรับเส้นทางการเดินของเสือ ปกติแล้วไม่พบร่องรอยของการเดินลงมาในพื้นที่ที่จะมีการสร้างเขื่อน เพราะฉะนั้นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร

          ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากที่การหารือเสร็จสิ้นลง ณ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปของการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์แต่อย่างใด ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะมีการเชิญ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำ (กบอ.) และนายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร มาชี้แจงข้อมูลต่อไป