เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ชี้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ-ทุนนิยม บั่นทอนประชาธิปไตย

เสกสรรค์


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุรภาพประกอบจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้ โพสต์โดยคุณ LAKORNHD ThaiTV

             เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ปาฐกถา 40 ปี 14 ตุลา 2516 โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ชี้ปัญหาความเหลื่อมล้ำยังไม่ถูกแก้ไข บั่นทอนประชาธิปไตย แนะรัฐบาลควรมีความเป็นธรรม-รับฟังเสียงประชาชน

             เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ลานโพ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะแกนนำนักศึกษาที่เรียกร้องประชาธิปไตยในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "ความฝันเดือนตุลา 40 ปี แห่งการแสวงหาเสรีภาพ ความเสมอภาค และความเป็นธรรมในประเทศไทย" โดยระบุตอนหนึ่งว่า

             เหตุการณ์ 14 ตุลา เป็นการดิ้นรนหาทางออกจากของประชาชนในการต่อต้านเผด็จการ และเรียกร้องประชาธิปไตยก้าวพ้นวิกฤติทางการเมือง แต่หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 กลายเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติใหม่ทางการเมือง ชนชั้นนำใหม่จากภาคธุรกิจจัดตั้งพรรคการเมือง การที่พรรคการเมืองพรรคเดียวได้เสียงข้างมากอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในสภา ถือเป็นปรากฏการณ์ที่มีนัยยะทางการเมืองว่าเป็นการก่อตัวความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มทุนใหม่กับเกษตรกร การรัฐประหารในปี 2549 จึงทำให้กลุ่มคนเหล่านี้โกรธแค้น เพราะพื้นที่และทางออกจากความเสียเปรียบเพียงทางเดียวถูกทำลายลง เป็นความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน

             ผ่านมากว่า 40 ปี สิ่งที่น่าหนักใจที่สุดคือ ความเหลื่อมล้ำทางสังคมยังคงเป็นปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไข แต่กลับถูกตอกย้ำรุนแรงขึ้นด้วยกระแสโลกาภิวัตน์ทุนข้ามชาติ รวมถึงยังบั่นทอนประชาธิปไตยในสังคมไทย ซึ่งผลกระทบจากทุนนิยมไร้พรมแดนที่มีต่อประเทศไทยจำเป็นต้องอาศัยกระบวนการทางการเมือง มาส่งเสริมการกระจายอำนาจและประชาธิปไตยทางตรงสู่ท้องถิ่น การประสานพลังการเมืองแบบตัวแทนในรัฐสภา เพื่อให้มีหลักประกันสำหรับผู้เสียเปรียบในสังคม ได้รับการคุ้มครองจากผลกระทบของโลกาภิวัตน์ การมีพื้นที่ต่อรองเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ที่แก้ไขตัวเองไม่ได้ และในอีกด้านหนึ่งก็ต้องแก้ไขปมเงื่อนทางการเมืองที่โลกาภิวัตน์มาผูกมัดไว้ด้วย  ทั้งสองด้านนี้บางทีอาจจะต้องสะสางไปพร้อม ๆ กัน


             การชุมนุมของคนไทยในระยะหลังพบว่า ส่วนใหญ่เป็นการประท้วงหรือเรียกร้องเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง สะท้อนให้เห็นว่าผู้คนกำลังเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และไม่มีใครยอมรับความเดือดร้อนนี้โดยไม่ต่อสู้ดิ้นรน ผู้นำการเมืองที่ตื่นรู้จึงควรย้ายฐานความชอบธรรมของอำนาจไปสู่การสนองผลประโยชน์รูปธรรมของประชาชนให้มากขึ้น รัฐบาลต้องมีบทบาทบริหารความเป็นธรรมและแก้ไขความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากกลไกตลาด รวมทั้งต้องรับฟังเสียงของประชาชนที่หลากหลายแตกต่าง ไม่ใช่เฉพาะในช่วงเสียงเลือกตั้ง แต่ต้องฟังประชาชนตลอดทุกขั้นตอนของการตัดสินใจ เพื่อเปิดโอกาสในการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างแท้จริงของประเทศไทยต่อไป

            โดยในการกล่าวปาฐกถาดังกล่าว เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เอ่ยถึงสาเหตุและที่มาที่ไปของปัญหาความขัดแย้งอย่างมากมาย โดยยกตัวอย่างในช่วงต่าง ๆ ดังนี้..

           "ในปัจจุบันคนชั้นกลางส่วนใหญ่ไม่สนใจ ไม่เห็นใจชะตากรรมคนส่วนใหญ่ที่อยู่ล่างจากตน  พวกเขามักหมกมุ่นกับเรื่องส่วนตัว การบริโภค การสร้างสไตล์ในชีวิตที่วิจิตรบรรจง กระทั่งนิยามความดี ความงามและความจริง หลุดลอยไปจากความถูกต้องเป็นธรรมทางสังคม"

           "ผมเองในฐานะปัจเจกชนอาจจะมองปัญหาไม่ครบถ้วน แต่เท่าที่เห็น คิดว่า อุปสรรคใหญ่ของประชาธิปไตยน่าจะมาจากเหตุปัจจัย 3 อย่างที่เกี่ยวโยงสัมพันธ์กัน คือ อิทธิพลของชนชั้นนำภาครัฐที่เคยผูกขาดอำนาจการปกครองมาก่อน  ฐานะครอบงำของวัฒนธรรมอำนาจนิยมซึ่งไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย และสภาพกำลังของฝ่ายประชาธิปไตยยังไม่มีลักษณะคงเส้นคงวา... ขออนุญาตให้เวลาเพิ่มเติมกับประเด็นเหล่านี้"

           "ตามความเห็นของผม การเมืองของคนเล็กคนน้อยทั้งสองกระแสล้วนเป็นส่วนหนึ่งของพลังประชาธิปไตย และไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกัน เนื่องจากจุดร่วมของทั้งสองฝ่ายคือ ไม่ต้องการระบอบอำนาจนิยม และต่างฝันถึงอิสรภาพ ความเป็นธรรมที่ตัวเองพึงได้รับ ฝันถึงชีวิตที่ไม่ถูกละเมิดล่วงเกิน"

           "ในความคิดของผม ความขัดแย้งหลักคือความขัดแย้งของชนชั้นนำเก่าที่สูญเสียฐานะการนำ กับชนชั้นนำใหม่ที่ขึ้นกุมอำนาจด้วยวิธีการต่างจากเดิม ความขัดแย้งดังกล่าวถูกทำให้แหลมคมขึ้นด้วยบรรยากาศความไม่พอใจรัฐบาลของกลุ่มทุนเก่าตลอดจนคนในเมืองหลวงที่หวั่นไหวกับความเปลี่ยนแปลงโดยกลุ่มทุนใหม่ และไม่คงเส้นคงวาทางประชาธิปไตย การก่อรัฐประหารครั้งนั้นจึงมีเงื่อนไขทางสังคมรองรับ"

           "ความผิดพลาดใหญ่หลวงของรัฐประหาร 2549 มิได้เป็นเรื่องของหลักการเท่านั้น หากยังเป็นเรื่องการประเมินกำลังของคู่ต่อสู้ด้วย พวกเขามองข้ามการมีอยู่ของมวลชนมหาศาลที่ประกอบเป็นชนชั้นกลางใหม่ในต่างจังหวัดและชนชั้นกลางค่อนไปทางล่างในเมือง มองไม่เห็นการมีอยู่ของปัญญาชนและชนชั้นกลางเก่าบางส่วนที่ผูกพันและหวงแหนระบอบประชาธิปไตย มองไม่เห็นศักยภาพของการตอบโต้ของชนชั้นนำใหม่ที่โตมากับทุนนิยมโลกาภิวัตน์ เรื่องจึงไม่จบลงง่าย ๆ หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 50 ความขัดแย้งที่ตามมากลับยิ่งรุนแรงและซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ความขัดแย้งเรื่องประชาธิปไตยได้ลุกลามสู่ระดับมวลชนและหมิ่นเหม่ต่อการก่อรูปเป็นสงครามกลางเมือง"







อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก



เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ชี้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ-ทุนนิยม บั่นทอนประชาธิปไตย อัปเดตล่าสุด 16 ตุลาคม 2556 เวลา 13:51:01 16,315 อ่าน
TOP
x close