เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
เปิดประวัติ พระพรหมสุธี เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ซึ่งมหาเถรสมาคมมีมติแต่งตั้งไปเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2556 โดยกล่าวกันว่า สมเด็จเกี่ยวทรงให้ความไว้วางใจพระพรหมสุธีในการสืบสานงานด้านพระพุทธศาสนาจวบจนวาระสุดท้ายก่อนละสังขาร
สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 16.00 น. ของวันที่ 22 ธันวาคม 2556 ที่พระอุโบสถวัดสระเกศ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานมอบพระบัญชาแต่งตั้ง พระพรหมสุธี (เสนาะ ปัญญาวชิโร) กรรมการมหาเถรสมาคม รักษาการเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ แทนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ และอดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชที่มรณภาพไปนั้น
สำหรับประวัติของ พระพรหมสุธี พบว่า ชื่อเดิมคือ เสนาะ ฝังมุข เกิดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 พื้นเพเป็นคน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เนื่องจากทางบ้านยากจน หลังเรียนจบชั้น ป.4 จากโรงเรียนวัดสามเรือน โยมพ่อจึงได้นำไปฝากกับพระอาจารย์ชุบ เจ้าอาวาสวัดสามเรือน เพื่อจะได้บวชเรียน จากนั้นได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบ้านสร้าง อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อ 10 มีนาคม 2512
จากนั้นสามเณรเสนาะได้คอยปรนนิบัติรับใช้อาจารย์ชุบและศึกษาพระธรรมวินัยควบคู่กันไปด้วย จนได้เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2512 ณ วัดสระเกศ โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระพรหมคุณาภรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า "ปญฺญาวชิโร" มีความหมายว่า ผู้มีปัญญาอันเฉียบแหลม
หลังจากอุปสมบทก็ได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ดูแลงานปกครองดูแลด้านการเงิน ในขณะเดียวกันยังเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม สำนักเรียนวัดสระเกศ เป็นกรรมการตรวจนักธรรมสนามหลวง และกรรมการตรวจบาลีสนามหลวง
ส่วนด้านการศึกษานั้น เมื่อ พ.ศ. 2525 สอบได้พุทธศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยในปีเดียวกัน ยังได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ควบคุมการบูรณปฏิสังขรณ์บรมบรรพต (ภูเขาทอง) ในงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี จากนั้น พ.ศ. 2527 ได้เดินทางไปประเทศอินเดีย เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาโท คณะสังคมวิทยา
ส่วนลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ. 2530 ดำรงตำแหน่งเป็นพระครูปลัดสุวัฒนพรหมคุณ ฐานานุกรมในพระพรหมคุณาภรณ์ (สมเด็จพระพุฒจารย์ ในปัจจุบัน) หลังจากนั้นได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ "พระปัญญาวชิราภรณ์" พ.ศ. 2535 เป็นพระราชา คณะชั้นราชที่พระราชสิทธิมงคล
พ.ศ. 2540 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ "พระเทพโสภณ" พ.ศ. 2543 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ "พระธรรมสิทธิเวที" และ พ.ศ. 2548 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จในราชทินนาม "พระพรหมสุธี" ซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่มีผู้ได้รับสมณศักดิ์ทั้งที่มีอายุไม่ถึง 50 ปี เนื่องจาก เนื่องจากขณะนั้น พระพรหมสุธี มีอายุเพียง 45 ปี และบวชพรรษาที่ 27 เท่านั้น
นอกจากนี้ พระพรหมสุธี รับผิดชอบตำแหน่งเลขานุการของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ และอดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช จวบจนวาระสุดท้ายแห่งการละสังขาร โดยท่านได้ทำหน้าที่สำคัญ คือการจัดงานสวดพระอภิธรรมอย่างสมเกียรติหลวงพ่อสมเด็จฯ ตลอดระยะเวลา 100 วัน โดยไม่ขาดตกบกพร่อง
โดยระหว่างที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ยังมีชีวิตอยู่นั้น พระพรหมสุธี ถือเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่ได้รับการไว้วางใจให้สนับสนุนผลักดันการงานและกิจกรรมต่าง ๆ ในทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งยังช่วยเป็นหูเป็นตาในการพัฒนาถาวรวัตถุและพระลูกวัดให้อยู่ในพระธรรมวินัยที่เคร่งครัดสมกับฐานะผู้ช่วยเจ้าอาวาส
ส่วนในฐานะพระนักปกครอง หลักสำคัญที่พระพรหมสุธีทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่เสมอมา คือการดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะภาค 12 ที่ต้องดูแลพระสงฆ์ในปกครองทั้ง 4 จังหวัด คือ ปราจีนบุรี, นครนายก, ฉะเชิงเทรา และสระแก้ว นอกจากนี้ ยังได้รับความไว้วางใจจากสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มอบให้รับตำแหน่งประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศอีกด้วย
จากการทุ่มเททำงานในทุก ๆ ด้าน รวมทั้งความมุมานะในด้านการศึกษา และการทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง ทางมหาเถรสมาคมจึงมีมติแต่งตั้งให้ พระพรหมสุธี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ นับตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไป
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
