ปอมเปอี (Pompeii) ประวัติ ปอมเปอี ประเทศอิตาลี โศกนาฏกรรมแห่งเมืองภูเขาไฟ ความรุ่งเรืองที่ล่มสลายลงในชั่วพริบตา เหลือทิ้งไว้เพียงซาก
นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่น้อยคนจะไม่รู้จัก สำหรับเรื่องราวของเมืองปอมเปอี (Pompeii) มหานครแห่งความรุ่งเรืองในยุคโบราณเมื่อเกือบ 2,000 ปีที่ผ่านมา แต่ความยิ่งใหญ่นั้นมีอันต้องสูญสลายลงในชั่วพริบตาจากมหันตภัยธรรมชาติที่ไม่คาดคิด เมื่อภูเขาไฟวิสุเวียสซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปราว 5 กิโลเมตรเกิดการปะทุอย่างรุนแรง ส่งเศษเถ้าถ่านพวยพุ่งขึ้นปกคลุมท้องฟ้า หินลาวาได้ฝังกลบทุกชีวิตจนหมดสิ้น
กระทั่งขณะนี้เวลาได้ผ่านไปนาน 1,937 ปีแล้ว นับตั้งแต่เกิดเหตุภูเขาไฟวิสุเวียสระเบิดในครั้งนั้น ในวันนี้ (24 สิงหาคม 2559) เราจึงขอพาทุกคนย้อนกลับไปดูเหตุการณ์วันนี้ในอดีตกันอีกครั้ง
ภูมิหลังปอมเปอี
เมืองปอมเปอีตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเนเปิลส์ (Naples) ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ถือกำเนิดขึ้นโดยชาวออสกัน (Oscan) ในช่วง 700 ปีก่อนคริสตกาล และถูกผนวกรวมกับอาณาจักรโรมันในช่วง 80 ปีก่อนคริสตกาล เมืองท่าแห่งนี้คือทำเลทองที่เอื้อต่อการทำการค้าและการเกษตร ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของแร่ธาตุจากลาวาภูเขาไฟ ทำให้สามารถปลูกต้นองุ่นและมะกอกได้ดี
มีการประมาณว่าเมืองปอมเปอีนั้นมีประชากรอาศัยอยู่ราว 10,000-20,000 คน และยังถือเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมของชาวโรมัน โดยผู้ที่มีฐานะร่ำรวยนิยมสร้างบ้านพักตากอากาศไว้ที่นี่ เพื่อเข้ามาพักผ่อนในช่วงฤดูร้อน
ส่วนประกอบต่าง ๆ ของปอมเปอีนั้นก็ไม่ต่างจากเมืองอื่นในอาณาจักรโรมันเท่าใดนัก ด้านหนึ่งของเมืองจะมีฟอรั่ม (Forum) ไว้ใช้ในการพบปะสังสรรค์ของชาวเมือง โดยในบริเวณใกล้กันจะมีวิหาร ของเทพเจ้าองค์ต่าง ๆ เช่น เทพเจ้าวีนัส (Venus), จูปิเตอร์ (Jupiter) และอพอลโล (Apollo) ตั้งอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีท่อส่งน้ำเข้ามายังใจกลางเมือง ไว้ใช้สำหรับที่อาบน้ำสาธารณะและน้ำพุอีกด้วย
นอกจากนี้ ชาวเมืองปอมเปอียังชื่นชอบความบันเทิงเริงใจ โดยพวกเขาได้สร้างอัฒจันทร์ขนาดใหญ่ความจุถึง 20,000 ที่นั่งไว้สำหรับชมกลาดิเอเตอร์ รวมถึงโรงละครอีกหลายแห่ง เอาไว้ใช้สำหรับพิธีฉลองทางศาสนาหรือการแสดงคอนเสิร์ตต่าง ๆ
ก่อนภูเขาไฟระเบิด
เหตุการณ์หนึ่งที่ในหนังไม่ได้กล่าวถึง คือก่อนหน้านี้ปอมเปอีได้ประสบกับเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มาแล้วในปี ค.ศ. 62 ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือนเป็นจำนวนมาก และใช้เวลาในการฟื้นฟูให้สมบูรณ์ได้ในอีก 17 ปีให้หลัง
ในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 79 ภูเขาไฟวิสุเวียส ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 5 ไมล์ได้เกิดระเบิดขึ้น โดยนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า ในทุกวินาทีเถ้าถ่านและหินลาวามากกว่า 1.5 ล้านตันรวมถึงก๊าซพิษอีกจำนวนมาก ได้ปะทุออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟอย่างต่อเนื่อง โดยเศษเถ้าถ่านอาจลอยขึ้นสูงถึง 20 ไมล์เหนือปากปล่องภูเขาไฟ ปกคลุมท้องฟ้าจนมืดสนิท ชนิดที่ว่าแม้แต่แสงอาทิตย์ยังส่องลงมาไม่ถึง และเมื่อเศษเถ้าถ่านและหินลาวาเย็นขึ้นและเกิดการแข็งตัว ทำให้พวกมันพุ่งตกลงสู่พื้นดินด้วยความเร็วสูง
โชคร้ายที่กระแสลมในวันนั้น ได้พัดพาเอาก๊าซพิษมายังเมืองปอมเปอีพอดี ทำให้ชาวเมืองต้องทนสูดดมก๊าซพิษ ในขณะเดียวกันหินลาวาก็เริ่มตกลงสู่พื้นดินมากขึ้นเรื่อย ๆ ชาวเมืองต่างพยายามเอาชีวิตรอด บางคนเริ่มเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ ทางเลือกแห่งแสงสว่างเห็นจะเป็นการหนีออกจากที่นั่นให้ไวที่สุด แต่ก็หนีไม่พ้นอันตรายจากหินภูเขาไฟที่ตกลงมาจากฟากฟ้า ทำให้คนเหล่านั้นเสียชีวิตจากการถูกหินตกใส่หัว ในขณะที่บางคนเลือกที่จะอยู่ภายในบ้านของตัวเองเพราะคิดว่าปลอดภัยที่สุด
การระเบิดดำเนินต่อไปอีกหลายวัน ชาวเมืองที่เลือกอยู่ในบ้านเริ่มขาดอากาศหายใจ เนื่องจากหินและเถ้าถ่านภูเขาไฟตกลงมาทับถมบริเวณบ้านจนมิด มากเสียจนทำให้หลังคาบ้านพังถล่มลงมา ทำให้คนที่ติดอยู่ภายในถูกฝังและเสียชีวิตลงด้วยความทรมาน แต่ความพิโรธของธรรมชาติยังไม่จบเพียงเท่านั้น แรงสั่นสะเทือนจากการระเบิดทำให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าชายฝั่ง และกวาดเอาความรุ่งเรืองของปอมเปอีไปจนหมดสิ้น หลังจากนั้นอีกหนึ่งวันได้เกิดฝนที่นำเอาเถ้าถ่านที่ร้อนจัดตกสู่พื้นดิน กลายสภาพเป็นโคลนเดือดที่ไหลกลบเมืองเฮอร์คิวเลเนี่ยม (Herculaneum) ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ให้ได้รับความเสียหายอย่างราบคาบเช่นกัน
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มีคนเสียชีวิตไปกว่า 16,000 คน โชคร้ายที่คนเหล่านั้นต่างต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า ตำนานของพวกเขาสาบสูญไปพร้อมกับความยิ่งใหญ่ของปอมเปอี ที่ถูกฝังกลบภายใต้เถ้าถ่านภูเขาไฟเป็นเวลาหลายร้อยปีนับจากนั้น และมีการประมาณอย่างคร่าว ๆ ว่าพลังงานทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมาจากการระเบิดของภูเขาไฟในครั้งนี้ มีความรุนแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิม่าถึง 100,000 เท่าเลยทีเดียว
แล้วพวกเขาไม่รู้เหรอว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น ?
มีการค้นพบบันทึกของชาวโรมันคนหนึ่งที่ชื่อ พลินนี่ เดอะ ยังเกอร์ (Pliny the Younger) โดยบันทึกนี้กล่าวว่า ในช่วงวันก่อนภูเขาไฟระเบิดได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินสั่นไหวอยู่หลายครั้ง แต่ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ยังไม่ก้าวหน้าในยุคนั้น ทำให้ไม่มีใครเฉลียวใจว่าเหตุการณ์ดังกล่าว คือสัญญาณเตือนของโศกนาฏกรรมที่นำมาซึ่งจุดจบของปอมเปอี
การค้นพบเมืองโบราณที่สาบสูญ
เมืองอันสาบสูญแห่งนี้ถูกค้นพบขึ้นอีกครั้งในปี 1599 ในระหว่างการขุดอุโมงค์ใต้ดิน คณะผู้ค้นพบได้ขุดเจอกำแพงที่เต็มได้ด้วยภาพวาดและจารึกมากมาย แต่แล้วการสำรวจก็ได้หยุดชะงักไป และเริ่มขึ้นอีกครั้งในปี 1748 ต่อเนื่องเรื่อยมา เผยให้เห็นโฉมหน้าความรุ่งเรืองและอารยธรรมอันศิวิไลซ์ของปอมเปอี
โดยการค้นพบครั้งที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่ง เกิดขึ้นในปี 1863 เมื่อ กูวเซปเป้ ฟิโอเรลลี่ (Giuseppe Fiorelli) ได้ค้นพบชิ้นส่วนของชาวปอมเปอีที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ระเบิดของภูเขาไฟ ซึ่งชิ้นส่วนดังกล่าวได้เสื่อมสลายไปตามกาลเวลาจนเหลือแต่โพรงภายใต้ขี้เถ้าภูเขาไฟ ทางคณะผู้สำรวจจึงเจาะรูเล็ก ๆ แล้วหยอดปูนปลาสเตอร์ลงไป เมื่อปูนแห้งก็ได้ออกมาเป็นรูปร่างของมนุษย์ที่เสียชีวิตในอิริยาบถต่าง ๆ ทำให้รู้ว่าพวกเขากำลังทำกิจกรรมอะไรอยู่ในช่วงวินาทีสุดท้ายของชีวิต โดยบางคนอยู่ในท่าทางคล้ายกับกำลังสวดมนต์ เพื่อขอให้พระเจ้าคุ้มครองในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
และด้วยความมหัศจรรย์ของปอมเปอี ทำให้เมืองแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี 1997 นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของประเทศอิตาลี ที่มีผู้มาเยือนมากกว่า 2 ล้านคนต่อปี และเชื่อว่าหลังจากการออกฉายของหนังเรื่องนี้ น่าจะทำให้ใครหลายคนอยากไปสัมผัสความยิ่งใหญ่ของตำนานอันสาบสูญสักครั้งในชีวิต