
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ข่าวสด
สราวุฒิ ภูธรโยธิน เสี่ยเจ้าของโรงสีใน จ.อุบลราชธานี ที่มีชื่อถูก คสช. เรียกรายงานตัว ยิงตัวตายในห้องนอน คาดสาเหตุโรคประจำตัวรุมเร้า ภรรยาบอกชอบเล่นเฟซบุ๊กคุยเรื่องต้านรัฐประหาร แต่ไม่ได้ฝักใฝ่สีใด ด้าน คสช. แจง ไม่เกี่ยวเรียกรายงานตัว ชี้ คนถูกเรียกไม่ได้หมายความว่าเป็นคนกระทำผิด
วันที่ 2 มิถุนายน 2557 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองอุบลราชธานี รับแจ้งเหตุมีคนยิงตัวตายภายในห้องนอน ร้านอุบลกรุงไทยกลการ ถนนอุปลีสาน ต.ในเมือง อ.เมืองอุบลราชธานี จึงรุดไปตรวจสอบ ทราบชื่อผู้ตายคือ นายสราวุฒิ ภูธรโยธิน อายุ 59 ปี เจ้าของบ้านที่เกิดเหตุ และเป็นเจ้าของกิจการโรงสี สภาพศพที่มือข้างขวาถือปืนพกสั้นสีดำขนาด .357 แม็กนั่ม พาดอยู่ที่บริเวณใต้คางด้านขวา ศีรษะเปิด ในห้องไม่พบร่องรอยการต่อสู้ หรือรื้อค้นทรัพย์สินแต่อย่างใด
จากการสอบสวน นางวันเพ็ญ ภูธรโยธิน อายุ 57 ปี ภรรยาผู้ตาย ให้การว่า นายสราวุฒิ มีโรคประจำตัวหลายโรค ทั้งความดัน เบาหวาน กระดูกพรุน รักษาตัวมานานกว่า 10 ปีแล้ว ก่อนเกิดเหตุผู้ตายก็บ่นเพียงว่าปวดเนื้อปวดตัวเท่านั้น
ทั้งนี้ นางวันเพ็ญ ยังบอกด้วยว่า ช่วงหลังมานี้ สามีมักอยู่บ้านเล่นเฟซบุ๊ก และเข้าไปโพสต์คุยเรื่องไม่เอารัฐประหารในเว็บไซต์พันทิป แต่สามีไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดไม่ว่าจะสีแดงหรือสีเหลือง คาดว่า นอกจากอาการป่วยที่รุมเร้าแล้ว ยังมีเรื่องที่เมื่อวานมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรียกให้เข้ารายงานตัว ณ ห้องจามจุรี สโมสรทหารบก เทเวศร์ ในวันที่ 3 มิถุนายน 2557 เวลา 10.00-12.00 น. จึงอาจทำให้เกิดความเครียดเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า นายสราวุฒิ ภูธรโยธิน นั้น เป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงจากธุรกิจขายโรงสีข้าวขนาดกลาง และเปิดโรงพิมพ์ระบบออฟเซ็ตรายแรกของจังหวัด แต่ช่วงหลังต้องปิดโรงพิมพ์ไป และประสบปัญหาในการทำธุรกิจโรงสี อีกทั้งยังมีอาการป่วยหลายโรค จึงอาจเป็นสาเหตุนำไปสู่การฆ่าตัวตายดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษก คสช. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เหตุยิงตัวตายดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับที่ คสช. เรียกมารายงานตัว แต่เป็นเพราะปัญหาส่วนตัวด้านธุรกิจ และโรคประจำตัวรุมเร้า ซึ่งข้อมูลนี้ทราบมาจากญาติของผู้เสียชีวิต คสช. จึงต้องชี้แจงให้รับทราบ เพราะเกรงว่าประชาชนจะนำเรื่องไปเชื่อมโยงกัน
สำหรับการเชิญบุคคลมารายงานตัวนั้น พ.อ.วินธัย ระบุว่า หลังจากนี้จะยังเรียกคนเข้ารายงานตัวเพิ่มเติม เพื่อทำความเข้าใจ แลกเปลี่ยน ปรับเปลี่ยนทัศนคติ เพื่อหาทางออกร่วมกันในอนาคต ไม่ใช่ว่าคนที่ถูกเรียกตัวเป็นผู้กระทำผิด
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก







