เผยคลิปผลการวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ โยนซากหมูทั้งตัวลงน้ำทะเลที่ความลึก 300 เมตร กลายสภาพเหลือแต่โครงกระดูกภายในเวลาไม่ถึง 4 วัน
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไซมอน ฟราสเซอร์ (Simon Fraser University) ในประเทศแคนาดา ได้ทำการทดลองเพื่อศึกษาเกี่ยวกับการเน่าเปื่อยของสิ่งมีชีวิต โดยได้ตั้งสมมุติฐานจากสิ่งที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่ว่า หากโยนซากศพลงไปที่ใต้ทะเลที่มีความลึกหลายร้อยเมตร จะเกิดอะไรขึ้น ?
โดยการทดลองได้ทำทั้งหมด 2 ครั้ง ใน 2 ช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ได้แก่ ในฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง โดยใช้ซากหมูทั้งหมด 4 ซากด้วยกัน แบ่งเป็นฤดูละ 2 ตัว ให้ตัวหนึ่งใส่กรงครอบไว้ ส่วนอีกตัวไม่ใส่กรง
จากการทดลองพบว่า ซากหมูทั้ง 4 ตัว จากการทดลองทั้ง 2 ฤดู ถูกย่อยสลายกลายเป็นโครงกระดูกภายในเวลาอันรวดเร็วด้วยฝีมือของ แอมฟิพอด (amphipods) แพลงก์ตอนใต้ทะเลที่มีลักษณะคล้ายกุ้งตัวจิ๋ว โดยหากเปรียบเทียบกันแล้ว ในฤดูใบไม้ผลิใช้เวลาทั้งหมด 4 วัน ส่วนในฤดูใบไม้ร่วงใช้เวลาเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น อีกทั้งยังพบว่า หากปริมาณออกซิเจนในน้ำมีมาก การย่อยสลายก็อาจจะเร็วกว่า 4 วัน
นอกจากนี้ผลการทดลองของฤดูใบไม้ผลิยังพบว่า ซากหมูที่ไม่ได้ถูกครอบกรง กลายเป็นอาหารของฉลาม แต่เป็นที่น่าแปลกว่า หลังจากพวกมันกัดเข้าไปเพียงเล็กน้อย มันก็หมดความสนใจไป และหลังจากผ่านไป 1 วัน ฉลามก็ไม่เข้าใกล้ซากหมูอีกเลย แต่จะคอยว่ายวนอยู่ด้านบนซาก และเมื่อผ่านไป 2 วัน แอมฟิพอดก็เริ่มเข้ามารุมซากหมูเป็นจำนวนมาก มันก็ค่อย ๆ เริ่มกัดกินเนื้อเยื่อจากภายใน ก่อนจะเริ่มออกมายังผิวหนังชั้นนอก จนเหลือแต่โครงกระดูกในที่สุด ส่วนกระดูกอ่อนจากซากที่เหลือ กุ้งทะเลก็จะมากัดกินไปในวันที่ 10
ทั้งนี้ ต้องรอให้เวลาผ่านไปนานถึง 166 และ 134 วัน สำหรับฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงตามลำดับ โครงกระดูกนั้นถึงจะไม่มีสัตว์ใดเข้ามายุ่งอีก และทีมนักวิจัยจึงสามารถลงไปเก็บโครงกระดูกคืนขึ้นมาได้ ซึ่งข้อมูลที่ได้นี้สามารถช่วยในการคำนวณเวลาการจมของศพ รวมไปถึงระบุสภาพน้ำ และสภาพแวดล้อมข้างใต้ทะเลได้
โดยทีมนักวิจัยดังกล่าวคาดว่าผลการทดลองนี้จะเป็นประโยชน์ต่อนักประดาน้ำ ที่ออกค้นหาศพที่จมลงอยู่ใต้น้ำทะเลลึก ซึ่งยังคงเป็นสถานที่ที่อันตรายและเข้าถึงยากสำหรับมนุษย์
ภาพจาก journals.plos.org, Ocean Networks Canada