x close

ควันธูปอันตราย! สารก่อมะเร็งอื้อ

จุดธูป

 

        พบกลิ่นธูปเป็นชนวนเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง ที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด โดยเมื่อวานนี้ (29 กรกฎาคม) ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำเสนอผลงานวิจัยเรื่อง "สารก่อมะเร็ง ภัยเงียบที่มากับควันธูป"

        โดย นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียู โรงพยาบาลวิชัยยุทธ กล่าวว่าตนและน.ส.พนิดา นวสัมฤทธิ์ นักวิจัยห้องปฏิบัติการพิษวิทยาสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับอันตรายของควันธูป เนื่องจากพบว่า ปัจจุบันโรคมะเร็งปอดเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของคนไทย โดยร้อยละ 80-90 มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ แต่ขณะเดียวกันจากสถิติการรักษาผู้ป่วยมะเร็งปอดในเพศหญิงกลับพบว่า กว่าร้อยละ 50 ไม่พบประวัติสูบบุหรี่หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้สูบบุหรี่ อีกทั้งไม่มีประวัติสัมผัสสารก่อมะเร็งจากการประกอบอาชีพเลย แต่กลับเป็นมะเร็งปอด ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากภัยที่เพิ่งค้นพบ คือ สารพิษก่อมะเร็งจากควันธูป

        นพ.มนูญ กล่าวต่อว่า จากการศึกษาควันธูปมีสารก่อมะเร็ง 3 ชนิด ได้แก่ เบนซิน บิวทาไดอีน และเบนโซเอไพรีน มีส่วนประกอบมาจากกาว ขี้เลื่อย น้ำมันหอมและสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอม เป็นต้น โดยสารก่อมะเร็งเกิดจากการเผาไหม้ของกาวและน้ำหอม เป็นสำคัญ ทั้งนี้ธูป 1 ดอก จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 325 กรัม และก๊าซมีเทน 7 กรัม ซึ่งมีศักยภาพเท่ากับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถึง 23 เท่า นอกจากนี้ยังมีสารพิษอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมีส่วนในการก่อให้เกิดมะเร็งชนิดต่างๆ อาทิ มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งในระบบเลือด มะเร็งปอด และมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ 

        ทั้งนี้ทีมวิจัยได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจหาสารก่อมะเร็ง บริเวณวัด 3 แห่ง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ ซึ่งเป็นวัดดังและมีผู้คนนิยมไปกราบไหว้มาก โดยได้สำรวจคนงานที่ปฏิบัติงานในวัดจำนวน 40 คน เปรียบเทียบกับคนงานในหน่วยงานที่ไม่มีการจุดธูปจำนวน 25 คน จากการตรวจเลือดและปัสสาวะ พบว่า คนงานที่ทำงานในวัดทั้งหมด มีสารก่อมะเร็งสูงกว่าคนที่ไม่ทำงานในวัดถึง 4 เท่า ขณะที่สารบิวทาไดอีน สูงกว่า 260 เท่า และสารในกลุ่มพีเอเอช จำพวกฟาร์มาลดีไฮด์ พบสูงกว่า 12 เท่า

        นอกจากนี้ ยังพบสารเบโซเอไพรีน ซึ่งเป็นสารที่มีศักยภาพในการก่อมะเร็งสูงสุด โดยพบว่าในวัดมีสารดังกล่าวสูงกว่าสถานที่ที่ไม่จุดธูปถึง 63 เท่า ที่สำคัญจากการตรวจร่างกายในคนงานในวัด 40 คน ยังพบการแตกหักของรหัสพันธุกรรมสูงกว่าคนปกติถึง 2 เท่า 

        "ควันธูปในวัดส่งผลอันตรายต่อประชาชน โดยเฉพาะกับพระสงฆ์ คนงานที่ทำงานในวัด แต่ที่น่ากังวลมากที่สุด คือ บริเวณศาลเจ้า หรือ วัดจีน โดยเฉพาะย่านเยาวราช ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการจุดธูปตลอดทั้งวัน และอากาศไม่ค่อยถ่ายเท ประกอบกับยังมีควันพิษจากท่อไอเสีย ทำให้เป็นแหล่งรวมสารก่อมะเร็งที่ต้องเฝ้าระวังมากที่สุด ที่สำคัญที่มองข้ามไม่ได้คือการจุดธูปในบ้าน ตามความเชื่อและประเพณีที่ปฏิบัติกันมาแต่โบราณ เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงทำให้มีควันธูปในบ้านมาก ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยธูป 3 ดอก สามารถปล่อยมลพิษและสารก่อมะเร็งได้เทียบเท่าสี่แยกไฟแดงที่มีการจราจรคับคั่ง" นพ.มนูญ กล่าวและว่า ผลการวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Chemico biological/ interactions ของประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ทรงเป็นหนึ่งในทีมนักวิจัยด้วย 

        ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีของธูปที่ไร้ควัน หรือธูปอโรมา มีสารก่อมะเร็งหรือไม่ นพ.มนูญ กล่าวว่า ธูปทุกชนิด ล้วนมีสารก่อมะเร็งทั้งสิ้น ธูปไร้ควันและธูปอโรมา เคยมีงานวิจัยออกมาพบว่า มีการปล่อยสารเบนซินมากกว่าธูปธรรมดาด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรมีการรณรงค์เรื่องนี้ให้ระมัดระวังกันถ้วนหน้า และต้องมีการรณรงค์ดับควันธูป โดยหลังจากจุดธูปแล้ว ควรมีการจุ่มธูปลงในน้ำหรือทรายก่อนปักลงในกระถาง จะช่วยลดควันธูปได้ และในอนาคต ภาคอุตสาหกรรมควรมีการผลิตธูปที่เมื่อจุดแล้วดับได้ทันทีภายในไม่กี่วินาที




ข้อมูลจาก

ภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ควันธูปอันตราย! สารก่อมะเร็งอื้อ อัปเดตล่าสุด 30 กรกฎาคม 2551 เวลา 17:58:01 27,828 อ่าน
TOP