เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
ย้อนกลับไปคืนวันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 รายการ "คนค้นฅน" ได้หยิบยกชีวิตชายชราวัยซึ่งขณะนั้นอายุ 105 ปี (ปัจจุบันอายุ 108 ปี) ที่อยู่อย่างพอเพียง เรียบง่าย และทรนงตน มานำเสนอให้เป็นข้อคิด กับประโยคเด็ดๆ "ดูแต่หอยซิ ไม่มีมือไม่มีตีนมันยังหากินเองได้ ประสาอะไรกับคนมีมือมีเท้า หากินเองไม่ได้ก็อายหอย"
และด้วยภาพของชายชราตัวงองุ้ม ศีรษะโพกผ้าสะระบั่นเพื่อยืนยันความเป็นมุสลิม ผิวหนังเหี่ยวย่น ชอบนั่งหัวเราะอ้าปากหวอไม่เห็นฟัน ทำให้ชายชราผู้นี้เข้าไปนั่งอยู่ในใจใครได้ไม่ยาก เพราะคงไม่มีใครคิดว่าชายชราในวัย 105 ปี จะให้วิถีชีวิตอยู่บนเรือลำเล็กๆ ขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 5 เมตร ที่เป็นทั้งเรือนงานและเรือนนอน และอยู่ตัวคนเดียวมานานหลาย 10 ปี วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปค้นชีวิตเฒ่าทรนงแห่งลุ่มน้ำเพชรบุรีคนนี้กันค่ะ...
นายเย็น แก้วมณี หรือ ปู่เย็น เป็นชาวเพชรบุรี นับถือศาสนาอิสลาม บิดาชื่อนายสุข แก้วมณี มารดาชื่อนางชม แก้วมณี เดิมประกอบอาชีพรับจ้างเลี้ยงวัว ซึ่งหากนับอายุตามหลักฐานทะเบียนราษฎร์ ปู่เย็นจะมีอายุ 89 ปี แต่ปู่เย็นระบุว่าเกิดปีฉลู ขณะนี้อายุ 108 ปี ซึ่งจากการสอบถามผู้สูงอายุกว่า 80 ปี ในอำเภอเมืองเพชรบุรี ต่างก็ยืนยันว่าเมื่อยังเป็นเด็ก ก็เห็นปู่เย็นเป็นโตหนุ่มใหญ่แล้ว
สำหรับชีวิตครอบครัว ปู่เย็นแต่งงานใช้ชีวิตอยู่กินกับ "ย่าเอิบ แก้วมณี" ชาวไทยพุทธแถวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยไม่มีฝ่ายใดได้เปลี่ยนศาสนา ซึ่งทั้งสองครองรักกันยืนยาว แต่ปู่เย็นไม่มีลูก เพราะปู่เย็นเป็นหมัน จะมีก็แต่ลูกสาวบุญธรรม 2 คน ซึ่งเมื่อเติบใหญ่ก็แยกย้ายไปมีครอบครัวของตน
ชีวิตบั้นปลายของปู่เย็นหวังเพียงแค่จะมีความสุขในบ้านเช่าหลังเล็กๆ กับคู่ชีวิต แต่ทว่าจู่ๆ ย่าเอิบก็ล้มป่วย และเสียชีวิตในวัย 94 ปี ตอนนั้นชายชราคนหนึ่ง ร้องไห้กับการจากไปของหญิงชราคนหนึ่งนาน 3 เดือน และนับจากวันที่ย่าเอิบจากไป ปู่เย็นก็ออกจากบ้านเช่าราคาเดือนละ 800 บาท ขนทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ไม่กี่ชิ้น มาอยู่บ้านหลังใหม่ ไม่มีเสา ไม่มีหลังคา ยาว 5 เมตร กว้าง 1 เมตร ซึ่งบ้านของปู่เย็นเป็นเพียงเรือลำเล็กๆ ลอยลำอยู่ในแม่น้ำเพชรบุรีนับตั้งแต่นั้น
ปู่เย็นใช้ชีวิตอยู่บนเรือมา 10 กว่าปี เลี้ยงชีวิตด้วยการดักอวนหาปลา เหลือกินก็ขายถูกๆ ไม่ต้องมีตาชั่ง 20 30 บาท ปู่ก็ขายแลกเงินเพื่อประทังชีพ โดยไม่นึกว่าจะต้องพึ่งใคร ทั้งๆ ที่ปู่เย็นเองก็มีญาติสนิทมิตรสหาย แต่ปู่เย็นให้เหตุผลง่ายๆ ว่า "เกรงใจเขา" ที่สำคัญปู่เย็นไม่ชอบให้ใครสงสาร แต่ปู่เย็นชอบสงสารคนอื่น
และในวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2548 ปู่เย็นได้เข้ารับเรือพระราชทานต่อเบื้องพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นเรือกว้าง 1 เมตร ยาว 6 เมตร มีประทุนหลังคากันแดดกันฝน ด้านครึ่งเรือตอนท้ายจะมีผ้ามุ้งสำหรับกันยุง สำหรับตัวเรือจะเป็นเนื้อไฟเบอร์กลาสตลอดทั้งลำ มีน้ำหนักเบาสามารถลอยตัวอยู่ในน้ำตื้นได้ สร้างความตื้นตันใจแก่ปู่เย็นเป็นอย่างมาก
"รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระองค์ใจดี สงสารคนแก่ ขอพระอัลเลาะห์จงคุ้มครองให้พระองค์อายุยืนกว่าผมหลายเท่า เรือพระราชทานสวยมาก จะเอาไปผูกไว้ที่ท่าโรงหม้อซึ่งอยู่ใกล้กับสะพานลำไย ประมาณ 30 เมตร ใช้เป็นที่หลับนอนในเวลาที่อยากพักผ่อน แต่การจับปลายังจะใช้เรือลำเก่าเพราะขึ้นลงในขณะหาปลาสะดวกกว่า เคยบอกว่าอยากได้เครื่องยนต์มาใส่ท้ายเรือเพื่อจะขับไปต่างที่ได้ แต่หลายคนไม่เชื่อว่าขับเรือได้ ถึงขับได้ก็เป็นห่วงว่าจะเกิดอันตราย ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนเรือลำเก่าก็เคยใส่เครื่องยนต์ แต่เครื่องพังไปนานแล้ว ถ้ามีก็ขับได้แต่ไม่เรียกร้อง เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าเรื่องมาก" คำพูดซื่อตรงที่ออกมาจากใจของปู่เย็น
นอกจากนี้ ทางจังหวัดเพชรบุรีได้คัดเลือกให้ปู่เย็นเป็นผู้สูงอายุดีเด่นประจำปี 2548 รวมถึงได้มอบบทบาทใหม่อย่างเป็นทางการให้ปู่เย็น คือการเป็น "พรีเซ็นเตอร์ท่องเที่ยวของจังหวัดเพชรบุรี" อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่นั้นมา ปู่เย็นก็ใช้ชีวิตตามแบบฉบับดั่งเดิมที่เคยเป็น ไม่ได้หลงใหลไปกับคำหวาน หรือชื่อเสียงที่ประดังเข้ามา โดยปู่เย็นอาศัยอยู่ในเรือพระราชทาน และออกเรือไปหาปลามาประทังชีวิต แม้ว่าจะมีผู้คนมาบริจาคเงินให้ หรือแม้ว่าทางจังหวัดจะให้เงินเดือน แต่ปู่เย็นมักจะปฎิเสธ ด้วยเหตุผลว่า "เกรงใจมัน ชีวิตคนเหมือนสะพาน มีขึ้น มีลง มีสูง มีต่ำ พอสุดท้ายก็ตาย"
แต่เมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา ชาวบ้านต้องพากันช่วยเหลือปู่เย็นขึ้นมาจากแม่น้ำเพชรบุรี ในสภาพอิดโรยอ่อนแรง เนื่องจากต้องจับเชือกผูกโยงเรืออยู่ในน้ำนานนับชั่วโมง หลังเกิดเหตุเรือนอนที่จอดอยู่ริมสะพานลำไยของปู่เย็นพลิกคว่ำ เพราะทานน้ำหนักน้ำที่ท่วมขังในเรือไม่ไหว ซึ่งเมื่อแพทย์จะนำตัวปู่เย็นส่งโรงพยาบาล ปู่เย็นกลับไม่ยอมไป เพราะเป็นห่วงทรัพย์สินและเรือพระราชทาน
จนเมื่อชาวบ้านช่วยกันกู้เรือมาได้สำเร็จ ปู่เย็นถึงกับน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง ก่อนที่บุรุษพยาบาลจะอุ้มปู่เย็นขึ้นรถพยาบาลนำตัวส่งตรวจอาการ โดยหลังเกิดเหตุความทราบถึงสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ดำเนินการซ่อมแซมเรือพระราชทานลำดังกล่าว โดยขยายท้องเรือให้กว้างจากเดิมอีก 20 เซนติเมตร พร้อมปะรอยรั่ว เปลี่ยนวัสดุผนังข้างเรือ หลังคาผ้าใบ กันสาด มุ้งลวดใหม่ และเพิ่มกล่องห้องลอยสำหรับเก็บของไม่ให้เปียกน้ำ อีกทั้งติดเครื่องยนต์และยาง CLPS เพื่อให้เหมาะสมแก่การบังคับเรือ
และเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เรือพระราชทานของปู่เย็นก็ซ่อมเสร็จเรียบร้อย โดยเจ้าหน้าที่ได้นำปู่เย็นนั่งรถเข็นจากบ้านญาติ เดินทางไปที่เรือพระราชทาน โดยทันทีที่เห็นเรือปู่เย็นได้เอามือลูบเรือพร้อมหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะอุทานออกมาว่า "โอ้...ดีโว้ย ...ลำนี้ใหญ่กว่าลำเก่าโว้ย..สวยไปเลยโว้ย" พร้อมกับกล่าวว่า ไม่อยากนำเรือลำนี้ออกมาใช้ อยากจะเอาเก็บไว้เพราะเสียดาย ดีใจเป็นอย่างมาก รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงเป็นห่วงเป็นใยในชีวิต มีรับสั่งซ่อมแซมเรือให้ในครั้งนี้ จะดูแลรักษาเรือลำนี้เป็นอย่างดี ไม่ให้เรือจมน้ำอีก
ซึ่งทันทีที่ปู่เย็นลงไปนั่งในเรือ ปรากฏว่าปู่เย็นดีใจจนยิ้มแก้มปริ พร้อมนำพระบรมฉายาลักษณ์ของล้นเกล้าฯ ทั้ง 2 พระองค์มากอดแนบอก ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำเรือพาปู่เย็นล่องไปตามลำน้ำไปยังที่จอดเรือของปู่เย็นบริเวณใต้เชิงสะพานลำไย ท่ามกลางชาวบ้านนับพันคนที่มายืนปรบมือให้กับผู้เฒ่าทรนง 2 ฝั่งแม่น้ำ
อย่างไรก็ตาม เมื่อโด่งดังผู้คนหลั่งไหลมาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสาย ก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของปู่เย็น เนื่องจากปู่เย็นอายุมาแล้ว อีกทั้งยังมีโรคประจำตัวคือโรคเบาหวานและขาดสารอาหาร ซึ่งทางโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเพชรบุรี ได้ส่งทีมแพทย์เข้าไปดูแลรักษาทุกวัน และนำอาหารที่มีธาตุอาหารครบตามหมู่ให้ปู่เย็นได้รับประทานทุกมื้อด้วย
นี่คือ...วิถีชีวิตของ "ปู่เย็น" เฒ่าทรนงแห่งลุ่มน้ำเพชรบุรี ขวัญใจมหาชนคนไทยทั้งประเทศ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- cablephet.com
- numtan.com