เริ่มมีการทดลองผลิตหม้อหุงข้าวไฟฟ้าเป็นครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อกลางทศวรรษ 1920 ต่อมาปลายทศวรรษ 1940 บริษัทมิตซูบิซิ อิเลคทริก ผลิตหม้อหุงข้าวที่มีหม้อและขดลวดนำความร้อนอยู่ภายใน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใกล้เคียงที่สุดกับหม้อหุงข้าวในปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่สะดวกสบายนัก ยังไม่มีระบบอัตโนมัติ ภายหลังบริษัทมัดซูซิตะและโซนี่ผลิตหม้อหุงข้าวออกจำหน่าย แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สตรีญี่ปุ่นต้องใช้แรงงานในการสงครามด้วย ความสะดวกรวดเร็วและประหยัดเวลาในการหุงข้าวจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ในวันที่ 10 ธันวาคม 1956 บริษัทโตซิบาจึงนำหม้อหุงข้าวอัตโนมัติออกวางจำหน่าย 700 ใบ ประสบความสำเร็จมาก โตซิบาเริ่มผลิตหม้อหุงข้าวอีก 200,000 ใบ จำหน่ายหมดในเวลาเพียง 1 เดือน อีก 4 ปีต่อมา ก็แพร่หลายไปเกือบครึ่งประเทศ หม้อหุงข้าวของโตซิบารุ่นดังกล่าวใช้เวลาในการหุงเพียง 20 นาที มี 2 ชั้น ชั้นนอกสำหรับบรรจุน้ำ ส่วนชั้นในสำหรับบรรจุข้าว โตซิบาใช้รูปแบบดังกล่าวอยู่นานถึง 9 ปี แล้วจึงพัฒนามาเป็นหม้อหุงข้าวในยุคปัจจุบัน
หม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน ต้อง...
มีความปลอดภัยต่อกระแสไฟฟ้าช็อต โดยมีที่จับสำหรับเปิดปิดได้สะดวก ทำด้วยวัสดุที่มีคุณภาพดี มั่นคงแข็งแรง
มีความสามารถในการรักษาอุณหภูมิได้เหมาะสม
ฝาหม้อไม่ได้ทำด้วย Celluloid หรือ Nitrocellulose ซึ่งเป็นสารที่ติดร่างกาย
ข้อแนะนำในการซื้อและการใช้
อย่ากดสวิตซ์ เปิด-ปิด ขณะที่ไม่มีหม้อชั้นใน
อย่าใช้วัตถุมีคมถู หรือขัดหม้อชั้นใน เพราะจะทำให้สารที่เคลือบหม้อหลุดไปได้
อย่าเสียบปลั๊กหรือสวิตซ์ หรือจับหม้อชั้นนอกขณะที่มือเปียก เพราะอาจเกิดอันตรายจากกระแสไฟฟ้ารั่ว
ถอดปลั๊กทุกครั้งหลังจากการใช้งาน
ก่อนการใช้งานเช็ดหม้อชั้นใน และแผ่นความร้อนให้แห้งสะอาดเสียก่อน
เมื่อกดสวิตซ์หุง ถ้ากดไม่ติด ห้ามใช้วัสดุใดค้ำ หรือกดคาไว้
การใช้หม้อหุงข้าวครั้งต่อไป ควรรอสักประมาณ 10 นาที เพื่อให้หม้อหุงข้าวมีอุณหภูมิ
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก mea.or.th