ประเทศอียิปต์ และจอร์แดน รวมทั้งประเทศอาหรับต่างๆ ในตะวันออกกลางในปัจจุบันนี้ เป็นดินแดนแห่งอารยธรรมของโลกกว่า 6,000 ปีมาแล้ว
ได้มีโอกาสติดตาม อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และ อาจารย์ทรงยศ แววหงษ์ นักวิชาการทางด้านประวัติศาสตร์ จากมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ร่วมกับมูลนิธิโตโยต้า และบริษัทโตโยต้าจำกัด พร้อมด้วยเพื่อนสื่อมวลชนหลายสำนักเดินทางไป ตามรอยโลกมุสลิมที่ประเทศจอร์แดนและอียิปต์ เมื่อเร็วๆ นี้
ประเทศแรกที่คณะเราไปเยือนคือ "จอร์แดน" โดยเดินทางไปสู่กรุงอัมมานเป็นแห่งแรก ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจอร์แดนที่ตั้งอยู่บนภูเขา 7 ลูก และมีประวัติศาสตร์มากว่า 6,000 ปี ประเทศนี้อยู่ติดกับทะเลแดงและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเป็นช่องทางที่อาณาจักรโรมัน รุกแผ่ขยายมาก่อนกำเนิดของคริสต์ศาสนา จวบจนกระทั่งศาสนา อิสลามได้เริ่มแผ่ขยายใน ค.ศ. 632 และแพร่มาสู่จอร์แดนทั้งประเทศจนกระทั่งเป็นส่วนหนี่งของโลกอิสลาม
อย่างไรก็ตามประเทศจอร์แดนยังมีร่องรอยของเมืองที่อาณาจักรโรมันได้สร้างขึ้นมาหลงเหลืออยู่ให้ผู้คนในปัจจุบันได้มาสัมผัสตื่นตาตื่นใจในความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของชาวโรมัน โดยเฉพาะ "นครเจอราช" (JERRASH) หรือ "เมืองพันเสา" สันนิษฐานว่าเมืองนี้น่าจะถูกสร้างในราว 200-100 ปีก่อนคริสตกาล
ปัจจุบันนี้ "เมืองพันเสา" ไม่มีจำนวนเสาครบตามจำนวนให้เห็น แต่ได้เห็นเสาเรียงรายกันอยู่จำนวนมาก ซึ่งภายในเมืองยังมีร่องรอยของถนนสายหลักของ "เมืองพันเสา" แห่งนี้ที่ใช้เป็นเส้นทางเข้า-ออก มีริ้วรอยทางของล้อรถม้า ฝาท่อระบายน้ำ ซุ้มโคมไฟ เป็นต้น
จุดน่าสนใจที่สำคัญอีกแห่งของกรุงอัมมานที่ผู้มาเยือนต้องมาให้ถึง คือ ป้อมปราการ แห่งกรุงอัมมาน (CITDAEL) ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นจุดสังเกต เหตุการณ์ของบ้านเมืองโดยรอบ ซึ่งจุดดังกล่าวนี้สามารถมองเห็นตึกรามบ้านช่องที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงเรียงรายกันอย่างแปลกตา
สถานที่สำคัญที่นักท่องเที่ยวชาวฝรั่งที่นับถือศาสนาคริสต์ไม่พลาดที่จะต้องมาให้เห็นกับตาก็คือ เมาท์ เนโบ ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่บนเขาซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบริเวณที่เสียชีวิตและที่ฝังศพของ "โมเสส" ที่พาชาวยิวทั้งหมดเดินทางจากประเทศอียิปต์มายังเยรูซาเลม ณ จุดนี้ถ้าในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส จะสามารถมองเห็น แม่น้ำจอร์แดน ทะเลเดดซี และประเทศอิสรา เอล ได้อย่างชัดเจน แต่น่าเสีย ดายที่วันที่คณะเรามาท้องฟ้าไม่เป็นใจก็เลยไม่เห็นอะไร
มาจอร์แดนแล้วไม่ได้มาเห็นมาลงน้ำลอยตัวที่ทะเลเดดซี ก็ถือว่าเสียเที่ยวทีเดียว เพราะทะเลเดดซี เป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทุกมุมโลกมาสัมผัส เพราะทะเลแห่งนี้ผู้ที่ว่ายน้ำเป็นหรือไม่เป็นสามารถลอยตัวเล่นน้ำทะเลได้อย่างสบายโดยไม่มีวันจม เนื่องจากทะเลเดดซี เป็นจุดที่ต่ำที่สุดในโลก ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 400 เมตร และมีความเค็มที่สุดในโลกมากกว่า 20% ของน้ำทะเลทั่วไป ทำให้ไม่มีกุ้งหอย ปูปลาหรือสิ่งมีชีวิตใดเลยอาศัยอยู่ได้
จุดขายการท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันนี้ของจอร์แดน คือ "เมืองเพตรา" (Petra) นครสีชมพู ที่เป็นมรดกของโลก และเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกแห่งใหม่เมื่อวันที่ 7 เดือน 7 ปี 07 ที่ผ่านมา ความสำคัญแบบนี้ มีหรือที่คณะเราจะเลยสิ่งมหัศจรรย์แห่งนี้ไปได้โดยไม่ไปสัมผัสให้ได้รู้ได้เห็น
นครสีดอกกุหลาบชมพู แห่งนี้ ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาแห่งโมเสส สองข้างทางของเมืองเพตรานี้ มีผาหินสีชมพูสูงชันทั้ง 2 ข้างอันอัศจรรย์ตาที่ได้พบเห็น นครแห่งนี้กำเนิดขึ้นมาในช่วงระหว่าง 100 ปีก่อนคริสตกาล จนกระทั่ง ค.ศ. 106 ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมัน เมื่อโรมันล่มสลายลง นครเพตราก็สูญหายไปด้วยนับพันปีทีเดียว ล่วงเลยมาถึงปี ค.ศ.1812 นักสำรวจเส้นทางชาวสวิส นายโจฮันน์ ลุดวิก เบิร์กฮาตท์ ได้ค้นพบนครสีชมพูที่มหัศจรรย์แห่งนี้ "นครเพตรา" ก็ถูกพลิกฟื้นให้มีชีวิตชีวาจนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบันนี้
ก่อนที่คณะเราจะอำลาจอร์แดนไปสู่ประเทศอียิปต์ ได้แวะพักแรมที่เมืองอควาบา เมืองท่าและเมืองท่องเที่ยวตากอากาศที่สำคัญของจอร์แดน รุ่งขึ้นก็เดินทางสู่ท่าเรือที่เมืองอควาบา เพื่อนั่งเรือเร็วโดยสาร ข้ามชายแดนทางทะเลแดงไปยังเมืองนูไวบา ประเทศอียิปต์ โดยใช้เวลา 1.30 ชั่วโมง
จากเมืองนูไวบา คณะเราได้นั่งรถบัสประมาณ 5 ชั่วโมงไปยังเมืองอิสไมลิยา เมืองซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของคลองสุเอช ซึ่งเป็นคลองที่ขุดขึ้นเพื่อเป็นทางลัดให้การเดินเรือจากยุโรปมายังเอเชียย่นระยะทางได้ถึง 8,000 ไมล์ คลองนี้มีความยาว 162 กิโลเมตร กว้าง 60 เมตร ซึ่งได้ตัดเชื่อมระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กับ ทะเลแดง
คณะเราได้แวะชมดูคลองสุเอชเพียงไม่กี่นาที ก็เป็นสิ่งที่มีค่ามากในการจดจำกันว่าครั้งหนึ่งในชีวิตพวกเราได้มีโอกาสมายืนชมอย่างใกล้ชิดกับคลองที่ถือว่าเป็นคลองที่ยาวที่สุดในโลก
จากนั้นคณะเราก็มุ่งเข้าสู่เมืองไคโร แวะพักค้างคืนเพื่อล่องเรือไปตามแม่น้ำไนล์ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญแห่งหนึ่งของ โลกที่ก่อกำเนิดอารยธรรมอียิปต์ ขึ้นมา ว่ากันว่าแม่น้ำไนล์ยาวที่ สุดในโลก 6,695 กิโลเมตร เริ่มไหลจากเอธิโอเปีย ซูดาน ยูกันดา และอียิปต์ โดยไหลออกไปที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
วันสุดท้ายที่พำนักอยู่ที่อียิปต์ คณะเราได้ตะลุยดูแหล่งโบราณอียิปต์ตั้งแต่เช้ายันเย็น ช่วงค่ำก็ขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับประเทศไทย จุดแรกที่ไปเยือนคือ เมืองเมมฟิส เมืองหลวงเก่าแก่แห่งแรกกว่า 5,000 ปี จากนั้นก็ไปเยือนเมืองซัคคาร่า เพื่อชม "พีระมิดขั้นบันได" ซึ่งเป็นต้นแบบของ "พีระมิด" ในยุคต่อมา
จุดต่อมาเดินทางสู่เมืองกิเซ (GISEH) เมืองที่เป็นที่ตั้งของหมู่มหาพีระมิด 3 องค์ ซึ่งเรื่องราวของพีระมิดนี้คนทั้งโลกได้รับรู้ว่าสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสุสานของฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ของชาวอียิปต์สมัยโบราณ และเรื่องราวความลึกลับของพีระมิดจะได้รับการค้นพบและเปิดเผยออกมาสู่ชาวโลก แต่ความลึกลับของพีระมิดยังค้นพบไม่มีวันหมดสิ้น
ตามตำราประวัติศาสตร์ที่ได้รับทราบมาว่า อียิปต์ เป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองของโลกแห่งหนึ่ง ซึ่งสมัย 6,000 ปีก่อนโน้น ชาวไอยคุปต์ในอียิปต์นับถือเทพเจ้าต่างๆ และ 30 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ก็ถูกอาณาจักรโรมันเข้าครอบครองสมัยพระนางคลีโอพัตรา ซึ่งถือว่าเป็นฟาโรห์องค์สุดท้าย ในที่สุดก็ค่อยๆ ล่มสลายลงไป จนกระทั่งศาสนาอิสลามได้แผ่ขยายในศตวรรษที่ 6 บริเวณผืนแผ่นดินอาระเบีย ชาวอาหรับที่นับถือศาสนาอิสลามก็ได้เข้ายึดครองประเทศอียิปต์ และได้เรียกชื่อ ประเทศของตนในยุคสมัยใหม่ว่า "สาธารณรัฐอาหรับแห่งอียิปต์ (Arab Republic of Egypt)"
ก่อนอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ได้กล่าวว่า "กาลเวลาหัวเราะทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พีระมิดหัวเราะกาลเวลา" ซึ่งเป็นคำกล่าวที่มิอาจปฏิเสธได้ เพราะพีระมิดกวักมือเรียกคนทั้งโลกให้มาสัมผัสความยิ่งใหญ่ที่เป็นอมตะที่ไม่สูญสลายไปไหน
ก่อนการเที่ยวดินแดนยุคโบราณ 6,000 ปีที่จอร์แดนและอียิปต์ คณะเราได้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของแหล่งอารยธรรมของโลกจากอดีตและยืนยงคงกระพันในปัจจุบันนี้ และปิดท้ายทริปที่ "พีระมิด" ความมหัศจรรย์ของ มนุษยชาติที่อยู่เหนือกาลเวลา
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
โดย จักรพันธ์ วงศ์สลับสี