x close

คู่ชีวิตจากมิตรแท้ ผุสชา - ธเนส สุขวัฒน์

ผุสชา โทณะวณิก

คู่ชีวิตจากมิตรแท้ ผุสชา - ธเนส สุขวัฒน์ (I DO)

          เมื่อร่วม 20 ปีก่อนหากเอ่ยชื่อคุณตุ้ม-ผุสชา โทณะวณิก นักฟังเพลงทั้งหลายเป็นต้องพยักหน้าว่า รู้จักนักร้องเสียงหวานใส อีกทั้งยังเป็นพิธีกรรายการทอล์คโชว์ชื่อดัง อย่างรายการ จันทร์กะพริบ ปัจจุบันเธอมีครอบครัวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นกับชายหนุ่ม คุณอ๊อด-ธเนส สุขวัฒน์

          ชีวิตในปัจจุบันของคุณตุ้ม-ผุสชา โทณะวณิก คือผู้หญิงเก่ง คนทำงานเบื้องหลังรายการทีวี มีตำแหน่งเป็นรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ เอส แอล จำกัด พร้อมกับรับบทบาทเป็นภรรยาของคุณอ๊อด-ธเนส สุขวัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ชาเนส มิวสิค โปรดักชั่น จำกัด และเจ้าของโรงเรียนคนตรีและศิลปะ Middle C ทั้งคู่นอกจากจะมีความรักและความเข้าใจที่หล่อเลี้ยงให้ชีวิตคู่มีความสุขแล้ว คุณตุ้มและคุณอ๊อดยังพบว่าชีวิตคู่นั้นถูกเติมเต็มให้สมบูรณ์ขึ้นเมื่อมีน้องพาย ลูกชายวัย 11 ปี มาร่วมเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของครอบครัว

          แม้ทั้งสองจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมานานถึง 14 ปี แต่เมื่อให้ย้อนเล่าถึงครั้งแรกที่ทั้งคู่มีโอกาสได้พบและรู้จักกัน คุณตุ้มกับคุณอ๊อดยังจำได้แม่นยำถึงความรัก ความเข้าใจ และความผูกพันที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ท่ามกลางบรรยากาศของการทำงานที่ในเวลานั้นต่างคนต่างเอาจริงเอาจัง ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับงาน โดยไม่ทันรู้ตัวว่าความรู้สึกดีๆ ของพวกเขากำลังก่อตัวขึ้นไปพร้อมกัน

คุณตุ้มเริ่มเล่าก่อนว่า

          "เรารู้จักกันเพราะเราทำงานด้วยกัน คุณอ๊อดเป็นฟรีแลนซ์ทำงานดนตรี ส่วนเราทำงานทีวี บางครั้งเราต้องการเพลงไตเติ้ลรายการทีวี หรือต้องการวงดนตรีมาอยู่ในรายการ หรือให้มาช่วยทำละครเวทีทั้งเรื่อง ก็จะให้คุณอ๊อดมาช่วย เพราะเคยร่วมงานกัน แล้วเห็นว่าเป็นคนมีความรับผิดชอบ ชอบงานทางด้านภาพเหมือนกัน และสามารถลุยงานไปกับเราได้ จะเป็นงานได้เงินน้อยก็ทำ ดึกแค่ไหนก็ทำ เราจึงเริ่มจากการเป็นเพื่อนร่วมงาน เจอกันทีไรก็คุยกันแต่เรื่องงานตลอด"

ด้านคุณอ๊อดเสริมขึ้นว่า

          "ทำงานร่วมกันมาเป็น 10 ปี ต่างคนไม่มีอาการอะไรเลย มีทะเลาะกันเรื่องงานด้วยซ้ำ แต่จะเป็นการทะเลาะด้วยเหตุผล ซึ่งทำให้เราได้เห็นตัวตนกันจริงๆ แต่ความรู้สึกดีๆ เพิ่งมาเริ่มมีในช่วงหลัง"

          หลังจากทำงานร่วมกันมานาน จุดที่ช่วยหักเหให้ความรู้สึกของทั้งคู่ค่อยๆ เปลี่ยนจากการเป็นเพื่อนร่วมงาน กลายมาเป็นความรู้สึกที่ดีและหวานซึ้งกว่านั้น เกิดจากความเข้าใจผิดของคุณอ๊อดที่คิดไปเองว่าคุณตุ้มแอบชอบตัวเองอยู่ จึงทำให้คุณอ๊อดเผลอใจแอบชอบคุณตุ้มกลับเพราะความเข้าใจผิดของตนเอง

คุณตุ้มเล่าก่อนว่า

          "เขาแอบชอบเราโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ที่เขาชอบเราเป็นเพราะเขาคิดว่าเราชอบเขาอยู่ ตอนนั้นทำละครเวทีด้วยกัน งานหนักมากจนเขาล้มป่วยเข้าโรงพยาบาล เรากลัวว่าเขาจะหายไม่ทันและจะไม่มีใครมาช่วยเราทำงานก็เลยซื้อช๊อคโกแลตไปเยี่ยมดูอาการ เพราะคิดว่าถ้าเขาได้ทานอะไรหวานๆ น่าจะรู้สึกดีขึ้น โดยที่ไม่รู้ว่าตามธรรมเนียมของคนญี่ปุ่น ถ้าซื้อช๊อคโกแลตให้หมายความว่าฉันอยากเป็นแฟนกับเธอ จุดนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เขาคงรู้สึกตกใจ"

คุณอ๊อดเสริมเรื่องให้สนุกขึ้น

          "เขาซื้อช๊อคโกแลตมาเยี่ยมเรา แล้วครั้งต่อไปเขาก็ลืมสมุดให้เราต้องเอาไปคืน ไม่รู้ว่าลืมจริงๆ หรือเปล่า แต่ความรู้สึกดีๆ ก็เกิดขึ้นตลอดเวลาและรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ"

          เมื่อความเข้าใจผิดที่พลิกผันทำให้เขาทั้งคู่เกิดความรู้สึกดีต่อกัน หลังจากนั้นก็ดูเหมือนทั้งคุณตุ้มและคุณอ๊อดจะมีโอกาสคิดว่าแท้ที่จริงแล้วพวกเขาทั้งคู่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน ทั้งชอบดูหนัง ฟังเพลง ชอบถ่ายรูป มิตรภาพที่เกิดจากการทำงานร่วมกันเป็นเวลา 10 ปี จึงกลายเป็นพื้นฐานที่แข็งแรงสำหรับความรักของทั้งคู่

คุณอ๊อดย้อนเล่าว่า

          "วันนั้นเป็นวันลอยกระทง ผมเพิ่งซื้อรถใหม่ ก็ขับรถไปที่ทำงานของคุณตุ้ม ตอนนั้นผมไม่ได้ตั้งใจจะไปหาเขา แต่ตั้งใจจะเอารถไปอวดเพื่อนๆ ทั้งๆ ที่ผมไม่มีคิวไปทำงานที่นั่น พอไปถึงเพื่อนที่นั่นรวมถึงคุณตุ้มยังถามว่าผมมาทำไม"

คุณตุ้มเพิ่มเติม

          "วันนั้นพวกเราทำงานกันตามปกติ คุณอ๊อดไม่มีหน้าที่ต้องมาอัดรายการแต่ก็แวะมา หลังบันทึกรายการเสร็จ ทุกคนก็ชวนกันแยกย้ายไปทานข้าวแล้วเหลือเราอยู่แค่สองคน คุณอ๊อดก็เลยชวนเราไปกินข้าว แต่ไม่ได้เป็นการเดทกัน ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น เพราะเรายังเป็นเพื่อนกัน โดยปกติเราก็ทานข้าวที่กองถ่ายด้วยกันเป็นประจำ แต่คิดว่าอาจเป็นโชคชะตาหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เราได้เริ่มต้น แล้วก็รู้สึกดี"

          แม้ทั้งคู่จะตัดสินใจเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนกลายเป็นคนรู้ใจ แต่ทั้งคุณตุ้มและคุณอ๊อดก็ไม่ได้ประกาศให้ใครรู้ว่าพวกเขากำลังศึกษาเรียนรู้นิสัยใจคอกัน ส่วนหนึ่งเพราะทั้งคู่ยังเป็นคนทำงานเบื้องหน้า รวมทั้งในช่วงที่คบหากันทั้งคู่แทบไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนด้วยกันแบบสองต่อสอง ด้วยความที่ต่างคนก็เป็นคนที่ทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับการทำงาน

คุณตุ้มกล่าวว่า

          "เราสองคนทำงานตลอด ที่ๆ เราจะได้นั่งคุยกันคือริมสระน้ำหน้าบริษัทข้างบันไดเวที หรือข้างรถของแต่ละคนตอนทำงานเสร็จ และกำลังจะแยกย้ายกันกลับบ้าน หรือจะมีบ้างที่นัดกันตามร้านอาหาร แต่ต้องเป็นร้านอาหารที่เปิดตลอด 24 ชม. เพราะว่าเวลานัดของเราคือตี 1 ตี 2"

คุณอ๊อดรีบยกเหตุการณ์ขึ้นมาประกอบ

          "มีอยู่ครั้งหนึ่งเรานัดกันโดยเขาคาดว่าเขาจะอัดรายการเสร็จตอน 3 ทุ่ม ผมก็ไปรอเขาที่ร้านอาหารก่อน แล้วจากเวลานัดเดิมเขาก็บอกเลื่อนเวลานัดผมออกมาเรื่อยๆ ว่าอีก 1 ชม. ถึงจะเสร็จ ไปเรื่อยๆ จากเวลาเดิมที่นัดกัน 3 ทุ่ม ผมรอทานข้าวกับเขาจนถึงตี 3"

คุณตุ้มเสริมต่อว่า

          "ตอนนั้นที่เราไปถึงเห็นเขายังนั่งรอเราอยู่ ไม่ได้หงุดหงิดดูยังมีความสุขในการนั่งรอ รอไปพร้อมกับนั่งวาดรูปทำปกเทปให้เราอย่างมีความสุข เราถือว่าเป็นการทดสอบที่ดีมากๆ ครั้งหนึ่ง เพราะเขารู้ว่าเราทำงานอย่างไร ถ้าจะอยู่ด้วยกันชีวิตต้องเป็นแบบนี้ ถ้าเขาเข้าใจแสดงว่าเราน่าจะไปด้วยกันได้ จากวันนั้นทำให้เรารู้สึกว่าเขาเข้าใจเรา"

          ตลอดระยะเวลาที่ทั้งสองคบหากันจะอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่เสมอ โดยเฉพาะคุณตุ้ม ซึ่งมักจะทำงานเลิกในเวลาค่ำ จึงต้องนัดคุณอ๊อดไปนั่งคุยกันที่บ้าน โดยมีคุณพ่อคุณแม่อยู่ที่บ้านด้วย เวลาผ่านไปได้ 2 ปี คุณพ่อคุณแม่ของคุณตุ้มจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากให้คุณอ๊อดจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นเรื่องเป็นราว เนื่องจากเกรงว่าจะไม่เหมาะสมถ้ายังคบหา และเข้าออกบ้านในเวลาแบบนี้ การเอ่ยปากของคุณแม่คุณตุ้มในครั้งนั้น ทำให้ทั้งคู่ตกใจไม่น้อย เพราะทั้งสองยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน

คุณตุ้มเริ่มเล่าก่อน

          "เวลาที่เจอกันจะเป็นตอนดึกๆ เราก็เลยพาเขาเข้าบ้านไปแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่รู้จัก คุณอ๊อดจึงเป็นผู้ชายที่เราพาเข้าบ้าน พามานั่งดื่มน้ำชาตอน 4 ทุ่ม 5 ทุ่ม โดยมีผู้ใหญ่ของเราอยู่ด้วยตลอด เราพาเขาเข้าบ้านอยู่นานจนผู้ใหญ่ของเราไว้ใจ วันหนึ่งคุณแม่ก็บอกว่า "อ๊อดจะพาลูกสาวแม่ไปไหนมาไหนตอนดึกๆ ไม่เหมาะสมนะ ใครจะว่าได้ หมั้นกันเลยดีไหม" ตอนนั้นเรายังไม่ได้คิดเรื่องนี้ แค่คบกันเท่านั้น ด้านคุณอ๊อดก็ตอบครับๆ"

คุณอ๊อดเล่าบ้างว่า

          "เวลาผู้ใหญ่พูดแบบนี้เราก็เข้ามุมแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ เพราะที่พวกท่านพูดแบบนี้ก็หมายความว่า เขาจะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นไม่นานผมก็พาคุณพ่อคุณแม่ของผมไปคุย ซึ่งท่านก็เห็นด้วยเพราะผมไม่ได้ปิดบัง จะคุยกับท่านตลอด"

          วันที่ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายตั้งใจจะมาคุยเรื่องงานหมั้นเพียงอย่างเดียวในตอนแรก กลับกลายเป็นว่าคุณแม่ของคุณอ๊อดแนะนำว่าน่าจะให้จัดงานแต่งงานไปเลย การตัดสินใจของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายจึงทำให้พิธีแต่งงานของทั้งคู่เกิดขึ้น ในขณะที่ทั้งสองยังรู้สึกว่าช่างเป็นความบังเอิญแบบขำๆ เมื่อทั้งสองตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแล้ว การแต่งงานที่มีพื้นฐานความเข้าใจแบบเพื่อนมายาวนานนับ 10 ปี รวมกับอีก 2 ปี ที่คบหากันแบบคนรู้ใจจะเป็นแค่การเปลี่ยนสถานะของคนสองคนหรือไม่นั้น คุณตุ้มเล่าให้ฟังว่า "คุณอ๊อดปรับตัวเยอะมาก พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย เขาเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนวิถีชีวิตการทำงาน ต้องบอกว่าเขาเป็นคนน่ารักมากที่ปรับตัวเข้ามาหาเราตลอด และหลายๆ อย่างที่คุณอ๊อดทำ เป็นเพราะเป็นห่วงความรู้สึกของคุณพ่อคุณแม่เรา"

คุณอ๊อดในฐานะผู้ที่ยอมปรับตัวอธิบายว่า

          "ผมบอกเขาไว้ล่วงหน้าเลยว่าหลังแต่งงานผมขอใช้เวลา 2 ปี ในการปรับตัว เพราะเราต้องอยู่ด้วยกัน จากเดิมที่ผมต้องออกไปทัวร์คอนเสิร์ต ผมเลิกหมด เคยไว้ผมยาวก็ตัดสั้น อะไรที่เคยดูเถื่อน ดูดิบ ตัดทิ้งหมด ตอนแรกผมทานอาหารบนโต๊ะแบบมีพิธีรีตรองไม่เป็น พอเขาบอกผมก็ปรับตัว เพราะบางครั้งเราต้องไปงานเข้าสังคม ผมต้องคิดว่าเวลาเราไปทานกับเขาจะเหมาะสมหรือเปล่าที่จะไปนั่งทานอาหารกับเขา"

คุณตุ้มเล่าถึงการปรับตัวของตนเองบ้างว่า

          "สำหรับเราจะปรับเรื่องการแบ่งปันเรื่องราวของเราให้เขาฟัง เหมือนกับเป็นการแบ่งปันประสบการณ์และเวลาของเรากับเขา เราพบอะไรมาก็จะเล่าให้เขาฟัง และไม่ทำงานมากเหมือนสมัยก่อน เราต้องตั้งสติว่าเมื่อก้าวเท้าเข้าบ้านแล้วต้องตัดเรื่องงานทิ้งไป ซึ่งสำหรับเราเรื่องงานถือว่าเราต้องปรับตัวเยอะมาก แต่เรื่องอื่นไม่รู้สึกลำบากใจในการปรับตัวเลย"

          ชีวิตคู่ที่ค่อยๆ สอนให้ทั้งคู่เรียนรู้ในบทบาทของการเป็นสามี ภรรยา ผ่อนหนัก ผ่อนเบา ให้อภัย เข้าใจกัน ทำให้ตลอดระยะเวลาสองปีหลังแต่งงานทั้งสองไม่เคยมีปากกเสียงกันเลยสักครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเลี้ยงดูอบรมและได้ต้นแบบที่ดีจากคุณพ่อคุณแม่ของทั้งสองฝ่าย เมื่อบทบาทการเป็นสามีภรรยาลงตัว ทั้งคู่ก็มีโอกาสได้แบบฝึกหัดข้อใหม่ที่ทั้งสองจะต้องช่วยกันอ่านและตอบโจทย์แห่งชีวิต นั่นคือแบบฝึกหัดในการเป็นคุณพ่อคุณแม่ครั้งแรก

คุณตุ้มเริ่มเรื่องก่อนว่า

          "หลังมีลูกเราต้องปรับตัวใหม่หมด เพราะเราไม่ใช่แค่แฟนหรือคู่รักเท่านั้นแต่เราเป็นญาติกันแล้ว ตอนเราแต่งงานกันคือเธอกับฉัน ถ้าเราทะเลาะกันก็สามารถที่จะแยกจากกันได้ แต่เมื่อมีลูกแล้วสถานะของเราจะเปลี่ยนไป เพราะเรามีลูกเป็นญาติคนเดียวกัน ซึ่งเป็นมากกว่าคู่รัก เธอเป็นพ่อฉันเป็นแม่ เราต้องรับผิดชอบลูกร่วมกันไปจนตาย เราต้องเป็นทีมเดียวกันที่จะช่วยสร้างเขาให้เติบโต"

คุณอ๊อดในฐานะคุณพ่อเสริมบ้างว่า

          "มีอยู่วันหนึ่งเขาทำกีต้าร์ของผมหัก กีต้าร์ตัวนั้นเป็นตัวที่ผมรักมากเพราะเป็นกีต้าร์ที่มีเรื่องราวประทับใจ ผมก็ได้แต่บอกให้เขาระวัง เพราะถ้าลงโทษเขาก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ทุกครั้งที่ดุลูก ผมจะต้องกลับไปขอโทษเขา"

          บทบาทการเป็นคุณพ่อคุณแม่ของทั้งคู่ทำให้ต่างคนต่างต้องลดความเป็นตัวตนของตัวเองลง และพร้อมจะอบรม สั่งสอน เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ทั้งคู่แบ่งหน้าที่ในการดูแลลูก โดยเน้นว่า แม้น้องพายจะเป็นลูกชายแต่ต้องมีทั้งความเป็นผู้ชายและความเป็นผู้หญิง ดังนั้นในมุมมองของความเป็นผู้ชายอย่างการป้องกันตัว หรือเทคโนโลยี คุณอ๊อดจะรับหน้าที่เป็นผู้บ่มเพาะวิชา แต่ในส่วนของความอ่อนโยน การเข้าใจคนอื่น คุณตุ้มจะรับหน้าที่เป็นผู้ดูแล ทุกวันนี้ลูกชายคนเดียวของครอบครัวสุขวัฒน์จึงเป็นเด็กชายวัย 11 ปี ที่มีส่วนผสมการรักดนตรีเหมือนคุณพ่อ อ่อนโยนเหมือนคุณแม่ และช่างคิดเหมือนทั้งคู่

คุณอ๊อดพูดถึงการวางแผนอนาคตของลูกชายว่า

          "ตอนนี้เขาวางแผนไว้ล่วงหน้าเองว่าเมื่อเรียนจบแล้ว เขาจะเรียนต่ออะไรเรียนต่อที่ไหน เขาหาเองตั้งแต่ตอนเขาอายุ 10 ขวบ เราพาเขาไปเดินตามงานนิทรรศการการศึกษา เขาก็เข้าไปเดินดู พูดคุยกับมหาวิทยาลัยที่เขาสนใจเอง เขาคิดเองทั้งหมด"

คุณตุ้มนั่งอยู่ข้างๆ เสริมขึ้น

          "เราจะบอกเขาล่วงหน้าว่า วิถีชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร อย่างปีที่แล้วเขาบอกว่าเขาจะไปออสเตรเลีย เขารู้แล้วว่าจะไปทำอะไร เขาเป็นเด็กที่มีมุมหนึ่งเป็นเด็กคือยังชอบเล่น แต่มุมหนึ่งเรารู้ว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ เขาจะคิดว่าเขาโตขึ้นจะเป็นอะไร เวลาเราเล่นกับเขาเราจะใส่ข้อมูลเชิงการใช้ชีวิตให้เขาฟังตั้งแต่เด็ก เราจะดูว่าเราควรสอนอะไรกับเขา บางครั้งเขาเห็นเด็กขายพวงมาลัยมายืนข้างๆ รถ เขาจะให้ดินสอสีกับเด็กขายพวงมาลัย นั่นคือการแบ่งปัน หรือไปงานศพเขาจะถาม เราก็จะสอนหมดว่าไปงานศพเพื่ออะไร แต่งตัวอย่างไร เมื่อโตขึ้นก็สอนให้เขารู้เรื่องการอยู่ร่วมกันกับเพื่อนๆ"

          แบบฝึกหัดสำหรับการเป็นคุณพ่อคุณแม่ของทั้งคู่เริ่มต้นและผ่านพ้นมาได้ด้วยดี แม้คุณตุ้มกับคุณอ๊อดจะเอ่ยปากในเบื้องต้นว่ายากและเหนื่อย แต่ก็เป็นการร่วมแรง ร่วมใจกันทำแบบฝึกหัดที่แสนสนุกและท้าทาย รวมทั้งผลลัพธ์ที่ได้ยังทำให้ทั้งคู่มีความสุขเสมอ ทั้งนี้เพราะทั้งคู่ต่างมองเห็นเป้าหมายเดียวกัน มีความเข้าอกเข้าใจกัน จึงค้นพบแนวทางที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาร่วมกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

คุณอ๊อดเอ่ยขึ้นก่อนว่า

          "ที่ผ่านมาผมว่าเป็นเพราะความเข้าใจ ต่างคนต่างต้องศึกษาให้เข้าใจในตัวตนของกันและกัน เพราะชีวิตของคนสองคนในโลกนี้ไม่มีใครเหมือนกัน ต่างคนต่างมีไลฟ์สไตล์มาคนละอย่าง เมื่อมาอยู่ร่วมกันต้องปรับตัว ตอนเราอยู่คนเดียวจะทำอะไรก็ได้ แต่เมื่อมาอยู่ด้วยกันต้องลดตัวลงมาเพื่อให้เข้ากันได้ นอกจากนั้นคือความเป็นเพื่อน เราใช้ชีวิตร่วมกันเหมือนเพื่อนในวันแต่งงานผมบอกเขาว่าเรามาใช้ชีวิตที่มีอยู่ร่วมกันเหมือนเพื่อนเถอะนะ"

คุณตุ้มเสริมบ้าง

          "ต้องมีทั้งความเข้าใจ ความเป็นเพื่อน และต้องให้เขาเป็นชีวิตหนึ่งของเราไม่ใช่แค่ฉันและเธอ ต้องเป็น "เรา" จะทำอะไรต้องเดินไปด้วยกันทุกเรื่องต้องทำด้วยกัน ไม่เหมือนการแบ่งปัน แต่เป็นทีมเวิร์คที่ประกอบด้วยความเข้าใจ การอุทิศ อดทน ให้เกียรติ ไว้วางใจ และรู้จักเติมสีสันให้กับมันตลอดเวลา เพราะความรักจืดจางลงได้ ถ้าเราไม่เติมก็จะหมดไป การใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันต้องรู้จักสร้าง เราจะสร้างสีสันขึ้นภายในบ้านตลอดเวลา มีเซอร์ไพรส์เล็กๆ น้อยๆ ตลอด สิ่งเหล่านี้จะช่วยหล่อหลอมให้เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เราไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะหน้าที่ เราอยู่เพราะเราต้องการสร้างความสุขให้เกิดขึ้น"

          และคุณตุ้มยังปิดท้ายด้วยบทสรุปที่น่าฟังว่า "ถ้าเราอยากมีความสุขต้องเริ่มทำ ถ้าอยากถูกกอดเราต้องกอดเขาก่อน" ประโยคนี้บ่งบอกชัดเจนถึงการกระทำ หากเราต้องการสิ่งใดเราต้องรู้จักสร้าง และหากเราเริ่มที่จะเป็นผู้ให้ สุดท้ายเราจะกลายเป็นผู้ได้รับ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คมชัดลึก
ฉบับเดือนกันยายน-ตุลาคม พ.ศ.2551
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
คู่ชีวิตจากมิตรแท้ ผุสชา - ธเนส สุขวัฒน์ อัปเดตล่าสุด 12 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 17:07:35 52,192 อ่าน
TOP