เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Pantip.com
ใครที่ได้ชมรายการตีสิบ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา อาจจะรู้สึกขนลุกซู่ไปตามๆ กัน เมื่อทางรายการนำเรื่องราวของ "ชนัย" หนุ่มใหญ่ที่สามารถระลึกชาติที่แล้วของตัวเองได้ว่าตัวเองคือ "ครูบัวไข" มานำเสนออีกครั้ง ทำให้คนอยากรู้เรื่องราวของครูบัวไขกันมากขึ้น วันนี้กระปุกจึงนำประเด็นฮอตนี้มาฝากกันค่ะ
ชนัย ชูมาลัยวงษ์ เกิดเมื่อปี พ.ศ.2510 ที่จังหวัดพิจิตร ปัจจุบันอายุ 41 ปี ประกอบอาชีพเป็นช่างแอร์ โดยชนัยได้เคยเล่าเรื่องราวการระลึกชาติของเขาในหนังสือ และล่าสุดผ่านทางรายการโทรทัศน์ว่า เขาสามารถระลึกชาติได้ตั้งแต่มีอายุได้เพียง 3 ปี โดยชนัยบอกว่า ในชาติที่แล้วตัวเองเป็นครู มีชื่อว่า "บัวไข หล่อนาค" สอนอยู่ที่โรงเรียนท่าบ่อ อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร มีภรรยาชื่อ "สวน" และมีลูกทั้งหมด 5 คน เป็นหญิง 3 คน ชาย 2 คน และมีลูกฝาแฝดที่สนิทกันมาก ก่อนครูบัวไขจะเสียชีวิตในวัย 35 ปี เมื่อปี พ.ศ.2505 เนื่องจากถูกลอบยิงจากท้ายทอยทะลุหน้าผาก ขณะที่ตัวเองกำลังเดินทางไปสอนหนังสือที่โรงเรียน
ในครั้งนั้น ชนัยในวัย 3 ขวบได้พยายามรบเร้าให้นางพรม เบ็ญทอง ยายของตัวเองพาเขากลับไปหาครอบครัวเดิม เนื่องจากคิดถึงภรรยาและลูก แต่ผู้เป็นยายไม่ได้สนใจนัก จนเด็กชายชนัยตัดสินใจหนียายออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวของนางสวนด้วยตัวเอง ทำให้ผู้เป็นยายต้องตัดสินใจเดินทางไปตามหาอดีตของชนัยด้วย และชนัยก็สามารถนำทางไปยังบ้านของนางสวนได้อย่างถูกต้อง ทั้งๆ ที่ไม่เคยเดินทางไปที่นั่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว
และเมื่อเด็กชายชนัยไปถึงครอบครัวหล่อนาคก็ได้ตกตะลึง เมื่อชนัยในวัย 3 ขวบ ทักทายทุกคนอย่างคุ้นเคย จนสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนๆ อดแปลกใจกับเรื่องเหลือเชื่อนี้ไม่ได้ พร้อมๆ กับอาการเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พ่อแม่ของครูบัวไข รวมทั้งนางสวนและลูกๆ จึงทดสอบชนัย ด้วยการถามคำถามต่างๆ ที่มีแต่ครูบัวไขและครอบครัวเท่านั้นที่รู้ ซึ่งชนัยกลับสามารถตอบได้ถูกต้องทั้งหมดโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย และรู้ว่าสิ่งของใดเป็นของครูบัวไข รู้ว่าลูกสาวชอบทานอะไร หรือรู้แม้กระทั่งว่าครูบัวไขเก็บของอะไรไว้ที่ไหน จนครอบครัวหล่อนาคเชื่อเรื่องราวที่ชนัยเล่า และยอมรับอย่างสนิทใจว่า ชนัยคือครูบัวไขของพวกเขาในชาติที่แล้วจริงๆ
หลักฐานหนึ่งที่มีน้ำหนักมากพอ จนทำให้ทุกคนเชื่อคำพูดของชนัยได้ อาจจะมาจากรอยแผลเป็นที่ศีรษะและท้ายทอยของชนัย ซึ่งทั้ง 2 จุด เป็นบริเวณเดียวกับจุดที่ครูบัวไขถูกกระสุนยิงที่ท้ายทอยจนทะลุออกหน้าผาก อีกทั้งเมื่อนำภาพถ่ายของครูบัวไขมาเปรียบเทียบกับชนัยแล้ว ต่างทำให้ทุกคนขนลุกซู่ไปตามๆ กัน เมื่อคนทั้งคู่นั้นมีหน้าตาคล้ายกันมาก จนแทบจะเป็นคนๆ เดียวกันเลย
ชนัยซึ่งจำความเมื่อครั้งที่ครูบัวไขเสียชีวิตได้ ก็ยังเล่าเรื่องการเสียชีวิตให้ฟังว่า วันนั้นเขาซักเสื้อผ้าเสร็จ อาบน้ำ ทานข้าว จากนั้นก็แต่งตัวเครื่องแบบราชการครูขี่รถจักรยานออกไปสอนหนังสือ แต่เมื่อขี่รถไปถึงเส้นทางเปลี่ยว กลับถูกผู้ชายคนหนึ่งซึ่งดักซุ่มอยู่ยิงปืนเข้าที่ศีรษะจนตัวเองล้มลง ตอนนั้นครูบัวไขไม่รู้ว่าตัวเองเสียชีวิตแล้ว จนผ่านไปได้ 2-3 วันถึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง จากนั้นเขาก็ได้เจอกับผู้ชายสูง 8 ศอก ท่าทางโบราณ มารับตัวเขาเดินไปรวมกับคนอื่นๆ พร้อมกับบอกให้เลือกทางเดินที่จะเดินไป ครูบัวไขซึ่งเป็นคนชอบผจญภัยจึงเลือกเส้นทางเดินขรุขระ ซึ่งที่ปลายทางนั้นครูบัวไขต้องชดใช้กรรมหนัก คือถูกให้ปีนต้นงิ้ว มีหอกตามแทง อีกาไล่จิก อันเป็นผลมาจากการที่เขาเป็นคนเจ้าชู้หลายใจในชาตินั้นเอง
และเมื่อชดใช้กรรมที่เกิดจากความเจ้าชู้จบแล้ว ผู้ชายคนเดิมบอกให้เขาไปชดใช้กรรมอื่นๆ ในภพหน้าด้วยการให้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง จากนั้นชนัยก็เดินทางไปถึงแอ่งน้ำใหญ่ และเลือกที่จะไม่ดื่มน้ำในสระเหมือนที่คนอื่นๆ ดื่มกัน ซึ่งจุดนี้เองทำให้ชนัยเชื่อว่า การไม่ดื่มน้ำทำให้เขายังสามารถจดจำเรื่องราวในอดีตได้
ในชาติปัจจุบัน ครูบัวไข หรือ ชนัยต้องกลับมาชดใช้กรรมที่ทำไว้ในอดีตด้วยการต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดบริเวณนัยน์ตาซ้ายที่มักจะเกิดขึ้นในทุกวันที่ 23 มกราคม ซึ่งเป็นวันครบรอบวันตายของครูบัวไข ซึ่งลูกสาวฝาแฝดได้เคยบอกกับเขาว่า เป็นเพราะครูบัวไขถูกยิงจนนัยน์ตาซ้ายถลนออกมา ทำให้เขาเจ็บปวดมาถึงทุกวันนี้
สำหรับ ณ วันนี้ชนัย และลูกๆ ของครูบัวไข ยังไปมาหาสู่ติดต่อกันอยู่ แม้นางสวนผู้เป็นภรรยาของครูบัวไขจะไม่อยากให้ติดต่อกัน เนื่องจากไม่อยากให้รื้อฟื้นอดีต แต่ลูกฝาแฝดของครูบัวไขก็ยังเรียกชนัยว่าพ่ออยู่ เพราะรู้สึกถึงความผูกพันที่มีให้ต่อกัน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ชนัยจะสามารถระลึกชาติได้ แต่เขากลับรู้สึกว่านี่เป็นกรรมที่เขาต้องชดใช้เสียมากกว่า เพราะได้รับความรู้สึกที่เป็นทุกข์จากการตัดอดีตไม่ขาดนั่นเอง และยังเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องพูดเรื่องนี้
แม้เรื่องราวการระลึกชาติและการเวียนว่ายตายเกิดจะยังเป็นสิ่งที่ทำให้คนถกเถียงกันอยู่ เพราะไม่มีสิ่งใดสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามเรื่องราวของ "ชนัย ชูมาลัยวงษ์" นี้คงสามารถเตือนใจให้ใครหลายๆ คนรู้จักเรื่อง "กฎแห่งกรรม" ได้ดีทีเดียว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
dhammajak.net
