x close

10 ผู้หญิงเก่งและแกร่ง ยุค 2009 (ต่อ)



10 ผู้หญิงเก่งและแกร่ง ยุค 2009 (ต่อ)

          หลังจากที่เราได้นำเสนอเรื่องราวของ  หญิงสาวสามช่วงวัย 20,30 และ 40 ที่ต่างสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปสู่สุดยอดแห่งชัยชนะแห่งวิชาชีพจนสังคมต่างยอมรับในความสำเร็จของพวกเธอไปแล้ว 5 คนนั้น วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จัก ผู้หญิงเก่งและแกร่ง ยุค 2009 ที่เหลืออีก 5 คนกันค่ะ จะมีใครบ้างเราไปดูกันเลย

 สู่ขวัญ บูลกุล : สาวเก่งในโลกข่าวสาร 
     
          ในสถานการณ์ที่ผู้คนมีความจำเป็นต้องเสพข่าวสารข้อมูล ชื่อของหญิงสาววัย 30 กลางๆ คนนี้นับเป็นรายชื่อลำดับต้นๆ ที่ผู้คนให้ความสนใจ ถึงแม้ว่าสู่ขวัญ บูลกุล จะทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้เพียงสองรายการคือ "เรื่องเล่าเช้านี้" และ "เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์" เท่านั้น แต่ด้วยการนำเสนอข่าวที่ไม่ใช่แค่เพียงการรายงานธรรมดา ทว่าผนวกการวิเคราะห์ที่เฉียบคมเข้าไปด้วย จึงทำให้เธอมีผู้คนรอติดตามผลงานมากมาย

          "การที่ขวัญก้าวมาทำหน้าที่ตรงนี้ได้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดมาก่อน แต่เหมือนกับว่าเส้นทางชีวิตถูกกำหนดมาอย่างนั้น ขวัญมีหน้าที่เดินตามไปเท่านั้นเอง แต่เมื่อมีโอกาสก็ต้องคว้าเอาไว้ และทำจนสุดความสามารถและให้ออกมาดีที่สุดค่ะ

          ช่วง 4 ปีแรกของการสร้างตัวเองที่เนชั่น เป็นช่วงชีวิตที่ทำงานเพียงอย่างเดียว ไม่มีชีวิตส่วนตัว ไม่เที่ยว ไม่ออกไปแฮงก์เอาต์กับเพื่อนๆ  ไม่มีไลฟ์สไตล์อย่างอื่นเลย 24 ชั่วโมงของทุกวันเป็นการทำงานอย่างจริงจัง เป็น 4 ปีที่อยู่กับข่าวสารข้อมูลมากที่สุดในชีวิตก็ว่าได้

          ที่ต้องทำเช่นนั้นก็เพราะรู้สึกว่าตัวเองใหม่มากในสายอาชีพนี้ ไม่อยากบอกว่าตัวเองเริ่มต้นการทำงานจากศูนย์ แต่ต้องบอกว่าเริ่มต้นจากติดลบดีกว่าค่ะ เมื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ดังนั้นก็ต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นหลายสิบเท่าตัว จนทุกวันนี้ลักษณะการทำงานแบบนั้นติดตัวมาเป็นบุคลิกภาพของขวัญในที่สุด คือติดเป็นคนชอบอ่าน ชอบฟัง ชอบถาม ชอบสืบเสาะหาข้อมูล รวมถึงชอบฟังการวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ ค่ะ

          ถ้ามองในเนื้อของงาน ก็ต้องบอกว่ายากเอาการอยู่เหมือนกันกว่าจะมีวันนี้ได้ ขวัญผ่านการทำงานมาค่อนข้างมากอย่างที่บอก สำหรับคนที่ชื่นชมและอาจจะมีขวัญเป็นแบบอย่างของการทำงาน หรืออยากจะเป็นเหมือนขวัญ คุณต้องถามตัวเองก่อนว่าอยากจะเป็นอย่างนี้หรือชอบจริงหรือเปล่า เพราะงานตรงนี้เป็นงานที่ค่อนข้างหนัก เมื่อเป็นงานหนักก็ต้องอาศัยคนที่มีใจรักจริงเป็นปัจจัยแรก เมื่อใจรักแล้วก็ต้องทุ่มเทให้กับมันมากๆ ด้วย”

          กล่าวถึงบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนใหญ่มักจะมีบุคคลที่เป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิต แต่สำหรับเธอคนนี้ยืนยันว่าไม่ได้ยึดแบบอย่างเป็นตัวบุคคล "ถ้าพูดถึงตัวบุคคลที่เป็นแบบอย่าง ก็บอกตรงๆ ว่าไม่มีค่ะ แต่ขวัญเลือกมองจุดดีๆ ของหลายคนแล้วก็นำมาประมวลกัน และประยุกต์เป็นแนวทางของขวัญเอง แต่ถ้าถามถึงแนวทางการทำงาน ก็จะยึดถือการทำหน้าที่ให้ออกมาดีที่สุด เพราะแนวทางดังกล่าวจะพาไปสู่สิ่งที่ถูกต้องหรือว่าควรจะเป็น การใช้ชีวิตด้วยแนวทางดังกล่าว เมื่อวันเวลาผ่านไปจะไม่เกิดอาการเสียดายและพูดคำว่าเราน่าจะทำให้ดีได้มากกว่านี้ ที่สำคัญเป็นแนวทางที่ทำให้ใจของขวัญยอมรับผลที่จะตามมาไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม"




 แทมมารีน ธนสุกาญจน์ : ราชินีคอร์ตเทนนิสไทย

          คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ผู้หญิงธรรมดาสักคนจะกลายเป็นตัวแทนความหวังของคนไทยทั้งประเทศและสามารถสร้างชื่อเสียงในระดับโลกได้ แทมมี่-แทมมารีน ธนสุกาญจน์ หญิงสาววัย 32 เริ่มต้นชีวิตการเป็นนักเทนนิสมืออาชีพเมื่อหลายปีก่อน ด้วยเบ้าหลอมของครอบครัวที่ชื่นชอบการเล่นกีฬาแต่กว่าจะไต่เต้าจากนักเทนนิสระดับเยาวชนจนได้ครองตำแหน่งนักเทนนิสหญิงอาชีพ มือวางอันดับที่ 45 ของโลกได้ อุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างรายทางมีมิใช่น้อยเลย

          "ช่วงลำบากที่สุดคืออายุประมาณ 16 แทมมี่ตัดสินใจจะก้าวมาเล่นระดับอาชีพ และเรายังไม่มีผู้สนับสนุน คุณพ่อต้องขายรถตัวเองเพื่อส่งแทมมี่ไปแข่งขัน ถึงแม้เราตั้งใจเต็มที่ เหนื่อยมากเพราะต้องเดินทางไปแข่งขันตลอด แต่การสู้ของเรายังมองไม่เห็นฝั่ง ไม่รู้ว่าจะเดินมาถึงจุดที่อยู่ในวันนี้ได้รึเปล่า ช่วงนั้นแทมมี่ต้องอดทนมากๆ ไม่ท้อ ซึ่งไม่ใช่แค่ความอดทนของแทมมี่ แต่เป็นความอดทนของครอบครัวด้วย คุณพ่อไม่ได้สนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างเดียว ท่านดูแลตั้งแต่เป็นโค้ช เป็นผู้จัดการส่วนตัว เดินทางไปด้วยกัน ทุ่มเทแรงใจแรงกายให้ทุกอย่าง คุณแม่ก็ให้กำลังใจตลอด มาถึงวันนี้แทมมี่ดีใจว่าเราทำได้...

          การได้รองแชมป์เยาวชนวิมเบิลดัน ตอนอายุ 18 ปีทำให้ทุกอย่างเปลี่ยน เริ่มมีสปอนเซอร์เข้ามา ทำให้แทมมี่ได้เดินทางไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากขึ้น กับอีกแมตช์ล่าสุดคือการแข่งขันเทนนิสวิมเบิลดันปีที่ผ่านมา แทมมี่เข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้าย

          ตอนนี้แทมมี่อยู่ในอันดับที่ 45 ของโลก นั่นคือเป้าหมายในทางตัวเลข แต่สำหรับแทมมี่จะมีการวางเป้าของแต่ละวัน ว่ามีอะไรบ้างตั้งแต่ออกจากบ้าน แล้วมาวิเคราะห์ว่าเราทำหน้าที่ในวันนั้นได้ดีขนาดไหน เน้นเป็นวันๆ ไป เพราะเทนนิสสอนให้รู้ว่า ถ้าเราไม่ทำแต้มแรกให้ดี เมื่อไปถึงลูกสุดท้าย เราก็ไม่อาจเอาชนะได้ แต่เมื่อไหร่ที่เราตั้งใจทำลูกแรกและลูกต่อๆ ไปให้ดี มาถึงลูกสุดท้ายเป็นเกมเซ็ตแมตช์ทุกอย่างก็จะดีเอง ซึ่งแทมมี่ว่าความฝันและอนาคตของคนเราก็เหมือนกัน

          เมื่อก่อนเวลาแข่งในบ้านจะเครียด รู้ว่าทุกคนเชียร์เรา อยากให้เราทำได้ดี กลายเป็นกดดันตัวเอง แต่ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ทุกคนยังให้กำลังใจ ไม่เคยมีใครว่าแทมมี่ตีแย่มาก มีแต่บอกว่าดีแล้วนะ และให้คำแนะนำว่าควรจะทำแบบนั้นแบบนี้ เดี๋ยวนี้ทุกครั้งที่ลงสนามแข่งขัน แทมมี่จะคิดว่านั่นคือความสนุก ทำทุกอย่างให้เต็มความสามารถทำหน้าที่นักกีฬาเทนนิสของเราให้ดีที่สุดก็พอ"




 ผอูน จันทรศิริ : ผู้กำกับฯ มากฝีมือ

          นับจากก้าวออกมาจากรั้วจามจุรี ชื่อของ ผอูน จันทรศิริ ก็โดดเด่นประดับวงการมายา ทั้งในฐานะนักแสดงมากความสามารถที่เล่นได้ดีทุกบทบาท เรื่อยมาถึงผู้กำกับหลากฝีมือ ที่ฝากผลงานการกำกับทั้งละครโทรทัศน์ ละครเวที หรือแม้แต่การกำกับเรื่องราวบนแผ่นฟิล์ม ผู้หญิงคนนี้ก็เคยสัมผัสมาแล้วทั้งนั้น

          "ชีวิตการทำงานในวงการบันเทิงที่ผ่านมา สำหรับตัวเองแล้ว มองว่าไม่ได้ยากเย็นมากมายอะไรค่ะ ใครๆ ก็อาจจะทำได้ ได้มายืนตรงนี้ก็อาจเป็นเพราะว่ามีโอกาสมากกว่าคนอื่นและถือว่าตัวเองโชคดีมากๆ อีกอย่างก็คือการทำงานที่ผ่านมาราบเรียบไม่มีอุปสรรคให้หนักใจมากมาย ถ้าจะเปรียบกับคนที่ต้องต่อสู้ฝ่าฟันมา คงเทียบกันไม่ติดเลยล่ะ แต่การทำงานที่ไม่มีอุปสรรคก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำงานแบบผ่านๆ หรือขอไปที แต่กลับใช้โอกาสตรงนั้นละเมียดละไม และให้ความสำคัญกับการทำงานในทุกๆ ขั้นตอน"

          จากจุดแรกที่เข้ามาโลดแล่นในวงการบันเทิงจวบจนวันนี้ เวลาพัดผ่านไปแล้วกว่า 20 ปี หากมองในมุมของความสำเร็จในชีวิต หลายคนก็ต้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ แต่สำหรับสาววัย 46 คนนี้ เธอมองเพียงว่าขอมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่เธอรักก็เพียงพอแล้ว

          "ความสำเร็จในความหมายของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป ร้อยคนก็ต่างกันไปเป็นร้อยๆ อย่าง บางคนอาจจะต้องการเงินเดือนมากๆ แต่สำหรับบางคนอาจไม่ใช่อย่างนั้น ความสำเร็จของบางคนก็อาจจะหมายถึงมีความสุขแบบง่ายๆ กับงานที่เขารัก ซึ่งตัวเองถือเป็นหนึ่งในประเภทหลังค่ะ...

          ที่ผ่านมาได้รับการสั่งสอนจากผู้หลักผู้ใหญ่อยู่เสมอว่าไม่ให้พอใจกับผลงานของตัวเอง เพราะถ้าเมื่อไหร่รู้สึกยินดีหรือพอใจกับผลงานตรงนั้น ก็เท่ากับว่าเราจะไม่มีความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาความสามารถของตัวเอง ที่สำคัญจะไม่อยากคิดค้นทำสิ่งใหม่ๆ เลย เพราะคิดว่าตัวเองดีเลิศอยู่แล้ว เมื่อเราไม่กระตือรือร้นที่จะพัฒนาตัวเอง ทุกอย่าง ก็จะจบอยู่เพียงแค่นั้น ถึงวันนี้ก็เลยยังไม่รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จอะไรมากมายค่ะ

          การทำงานในวงการบันเทิงทุกวันนี้ น่ากลัวกว่าเดิมหลายเท่าตัว เพราะมีการแข่งขันกันสูงมาก นอกจากนั้นยังมีสิ่งที่พวกเราเรียกกันว่าของหมด ในที่นี้หมายความถึงอาการที่ความคิดสร้างสรรค์เดินถึงทางตัน นอกจากนั้นความต้องการของผู้เสพงานในยุคสมัยที่ต่างกันก็ต้องต่างกันเป็นธรรมดา สำหรับตัวเองแล้วจึงมองว่าการที่ประสบความสำเร็จในวงการบันเทิงในวันนี้ต้องสามารถทนกับการแข่งขันได้ ต้องกระตุ้นต่อมความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา และต้องสร้างสรรค์งานที่ตรงตามความต้องการของผู้เสพชม สามสิ่งนี้ต้องลงตัวกันอย่างกลมกล่อมค่ะ จึงจะมีที่ยืนในโลกมายาเช่นทุกวันนี้W




 เจนนิเฟอร์ คิ้ม : นักร้องสาวที่ใครๆ ก็หลงรัก

          คงด้วยแรงทะยานอยากที่ทำให้ เจนนิเฟอร์ คิ้ม นักร้องสาววัย 42 ผู้มีเสียงอันทรงพลังคนนี้คิดหาหนทางให้ตัวเองหลุดจากวงโคจรเดิมๆ และทะยานพุ่งสู่วิถีชีวิตที่ตัวเองเลือกเดิน ซึ่งอาจไม่เหมือนใคร แต่ได้ใจแฟนเพลงไปเต็มๆ

          "ในวงการนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่เราต้องรู้จักตัวเองและพยายามมองหารอยรั่วตรงนั้นให้ได้ รอยรั่วที่ว่าคือวงการนี้แน่นไปด้วยคนสวยคนเก่ง ฉะนั้น เราก็ต้องเติมเต็มรอยรั่วตรงนั้นด้วยการเอ็นเตอร์เทนผู้คน และการเอ็นเตอร์เทนผู้คนให้ได้ดี เราต้องคิดแบบชาวบ้าน คิดทำทุกอย่างให้เป็นธรรมดาที่สุด อย่าปั้น นอกจากนั้นเราต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ ให้มากกว่าคนอื่น สมมตินักร้องคนอื่นร้องเพลงไทยได้อย่างเดียว เราก็ต้องร้องเพลงให้ได้หลายภาษา อย่างถ้าร้องเพลงสากลก็ต้องเลือกเพลงตามเทรนด์ ดูว่าสมัยนี้เขาฟังเพลงกันแบบไหนและไม่ใช่จะร้องเพลงตามเทรนด์ได้อย่างเดียว เพลงเก่าๆ ก็ควรร้องให้ได้ด้วย เพื่อขยายกลุ่มผู้ฟังของเรา...

          สำหรับพี่ ณ วันนี้หน้าตาไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด แม้มันอาจจะมีความสำคัญอยู่บ้าง เพราะวงการนี้ต่อให้คุณร้องเพลงดีเท่าไหร่ แต่หน้าตาไม่ดี คุณอาจจะยังไม่เกิดหรอก ดังนั้นถ้าอยากขึ้นมาถึงจุดนี้ คุณต้องทำอะไรให้ได้มากกว่านั้น และสำหรับพี่คือการเอ็นเตอร์เทนผู้คน

          ถ้าถามพี่ว่าทำอย่างไรให้มายืนในจุดนี้ได้ทำอย่างไรให้มีชื่อเสียง พี่บอกไม่ได้ เพราะเป็นวาสนาและมันเป็นความทะเยอทะยาน มันเป็นโอกาส คือถ้าให้คิดสูตรขึ้นมา พี่จะบอกได้ว่ามันต้องมี พรสวรรค์ + โอกาส = ความสำเร็จ และนอกจากนี้มันต้องมีตัวที่ผลักดัน คือความทะเยอทะยานของเราให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเร็วและแรง โดยระหว่างนี้เราต้องมีวงเล็บ คือความเข้าใจ ความถ่อมเนื้อถ่อมตัว และความไม่หลงไปกับชื่อเสียง เราต้องรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา  แม้ในวงเล็บเราคือ Somebody เมื่อเราอยู่บนเวที แต่พอหลุดออกจากวงเล็บ เราก็เป็นแค่ Nobody ที่ลงจากเวทีแล้ว ใครชวนคุยก็คุยด้วยได้ สบายๆ (ยิ้ม)

          พี่คิดเสมอว่าอาชีพตรงนี้ เรากำลังอยู่กับความรู้สึกหลงของผู้คน ถ้าเราทำอะไรสะเทือนความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หลงของเขา เขาอาจจะรู้สึกไม่ดีกับเราได้ ดังนั้น พี่ค่อนข้างจะถนอมน้ำใจผู้คน โดยทำตัวให้เป็นธรรมชาติ และเข้าใจธรรมชาติของการมีชื่อเสียงไปด้วย และถ้าเราเข้าใจ เราจะกระเถิบออกมาจากจุดที่เรายืนอยู่สองก้าว กลายเป็นคนธรรมดา แล้วเราจะกลายเป็นคนที่รู้จักใช้ชื่อเสียง ไม่ใช่เป็นเหยื่อของชื่อเสียง”




 อรุโณชา ภาณุพันธุ์ : ผู้บริหารสาวแกร่งในโลกจอแก้ว

          เมื่อพูดถึง บริษัท บรอดคาซท์ไทย เทเลวิชั่น จำกัด หลายคนรู้จักดีในฐานะบริษัทผลิตละครและรายการโทรทัศน์คุณภาพ ที่นำเสนอผลงานสร้างสรรค์มาตลอด 10 ปี ภายใต้การบริหารงานของผู้หญิงเก่งอย่าง อรุโณชา ภาณุพันธุ์ หญิงสาววัย 40 กว่าๆ ผู้นี้

          บริษัทบรอดคาซท์ฯ สร้างชื่อจากละครแนววัยรุ่น ต่อมาเริ่มทำละครแนวดราม่า แนวพีเรียด ซึ่งผู้ชมให้การตอบรับอย่างดี ทั้งยังมีรายการเกมโชว์ให้ความรู้และให้คนรู้จักวิเคราะห์อย่าง "รายการแกะดำ" เป็นผู้จัดงานระดับประเทศ เช่น การประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ และมิสมอเตอร์โชว์ ทั้งยังริเริ่มการ์ตูนทีวีแนวพื้นบ้านไทยสำหรับเด็กเป็นรายแรก

          "ตอนที่คิดทำการ์ตูนพื้นบ้านไทย เรามองว่าเด็กไทยไม่มีการ์ตูนไทยให้ดูเลย จึงตั้งใจที่จะทำออกมา นอกจากให้ความสนุกแล้วยังแทรกข้อคิด ความกตัญญูรู้คุณ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เพื่อให้เด็กรู้วัฒนธรรมที่ดีๆ ล่าสุดเราเป็นผู้ริเริ่มรายแรกของเมืองไทยที่ร่วมทุนกับเกาหลี สร้างการ์ตูนออกสู่ตลาดโลกด้วย...

          ส่วนละครในแต่ละปีเราจะทำหลากหลายแนวที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องก็คือแนวสร้างสรรค์สังคม อย่าง "น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์" "เทวดาสาธุ" ละครทุกเรื่องเราพยายามให้มีแง่มุมมองที่สอดคล้องกับภาวะปัจจุบัน การทำงานทุกๆ วันนี้จะบอกน้องๆ เสมอว่าไม่มีละครเรื่องไหนดูแล้วเพอร์เฟ็กต์ เราต้องมองหาข้อแก้ไข ซึ่งก็มีอยู่เสมอ ถ้าวันนี้ไม่ดีกว่าเมื่อวานถือว่าถอยหลัง และการทำงานต้องเปิดกว้างรับฟังทุกเสียงวิจารณ์ เพราะนั่นคือความรู้สึกของผู้ชม ที่เรานำมาใช้รับปรุงกับงานได้ อย่าคิดว่าดีแล้ว เพราะเราจะไม่คิดพัฒนาต่อไป"

          เมื่อถามถึงหลักในการทำงาน ผู้บริหารอารมณ์ดีตอบด้วยรอยยิ้มแจ่มใสว่า "อย่าเครียดมากส่วนตัวแล้ว เป็นคนอารมณ์ดีค่ะ สนุกกับการทำงาน ปัญหาเป็นเรื่องธรรมดาของการทำงาน ให้เตรียมตัวเตรียมใจและสนุกกับการแก้ปัญหา ใช้หลักอริยสัจสี่ของพระพุทธเจ้าเกิดปัญหาอะไร ก็ตามให้แก้ที่ต้นเหตุ แก้วันนี้ไม่ได้อย่างน้อยให้เบาบางลงก็ยังดี ทุกอย่างมีทางออกแต่บางเรื่องอาจต้องใช้เวลา"





ขอขอบคุณข้อมูลจาก


ประจำวันพุธที่ 25 เดือนมีนาคม 2552
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
- ดาราเดลี่
- sakulthai.com
- KPN Music
- คมชัดลึก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
10 ผู้หญิงเก่งและแกร่ง ยุค 2009 (ต่อ) อัปเดตล่าสุด 6 เมษายน 2552 เวลา 16:38:23 16,907 อ่าน
TOP