

นางแบบตาแป๋ว
พักกายพักใจไปสัมผัส มนต์เสน่ห์แห่ง มัลดีฟส์ (ไทยรัฐ)
หลังเหนื่อยล้าจากการงานและเครียดกับปัญหาบ้านเมือง หลายคนแสวงหาสถานที่พักกายพักใจเพื่อชาร์จพลังให้ชีวิตกลับมามีชีวาอีกครั้ง สำหรับคนรักทะเล ชื่อของ มัลดีฟส์ คงอยู่ในลิสต์ต้นๆ ของเกาะในฝัน
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันก่อน มัลดีฟส์ (Maldives)
เป็นประเทศหมู่เกาะที่มีเกาะน้อยใหญ่ราว 1,190 เกาะ
ตั้งเรียงรายอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ใกล้กับประเทศศรีลังกา
แต่มีเกาะที่ผู้คนอาศัยอยู่ได้เพียง 200 กว่าเกาะเท่านั้น
หากรวมทั่วประเทศจะมีพื้นแผ่นดินอยู่ราว 300 ตารางกิโลเมตร
มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข

ฝูงฉลามน้อยออกล่าเหยื่อ
ประชากรราว 3.5 แสนคน นับถือศาสนาอิสลาม เมืองหลวงชื่อ มาเล (Male') เวลาที่นั่นช้ากว่าเมืองไทยอยู่ 2 ชั่วโมง ชาวมัลดีฟส์ใช้ภาษาดิเวฮิและอังกฤษเป็นภาษาราชการ เนื่องจากเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษถึง 79 ปี มีสกุลเงิน 1 รูฟียาห์ (MVR) มูลค่าแลกเปลี่ยนราว 3 บาท เศรษฐกิจที่นี่พึ่งพาการท่องเที่ยวและการประมงเป็นหลัก สินค้าสำคัญคือ ปลาทูน่า มะพร้าว ละผลิตภัณฑ์จากทะเล

สนามบินลอยน้ำของแท้
รัฐบาลมัลดีฟส์อนุญาตให้นักลงทุนชาวต่างชาติเช่าเกาะเพื่อพัฒนาเป็นที่พักรองรับนักท่องเที่ยวแค่ 74 เกาะ หรือ 1 เกาะ 1 รีสอร์ท กฎคือทุกรีสอร์ทต้องดูแลสิ่งแวดล้อม ห้ามตัดต้นไม้ใหญ่ ระบบกำจัดขยะและน้ำเสียต้องได้มาตรฐาน ทุกรีสอร์ทจะมีเครื่องปั่นกระแสไฟฟ้าและผลิตน้ำประปาจากน้ำทะเลใช้เอง ส่วนโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตจะใช้ระบบผ่านดาวเทียม หลายรีสอร์ทยังทุ่มทุนสร้างเขื่อนกันคลื่นไว้นอกชายฝั่ง กฎหมายด้านการท่องเที่ยวก็เข้มงวด การโดยสารเรือหรือเครื่องบินทะเล (Seaplane) ที่ต้องใช้เวลาเดินทางไปยังที่พักซึ่งอยู่ไกลเกิน 2 ชั่วโมง ถ้าค่ำมืดดึกดื่นเกิน 4 ทุ่ม นักท่องเที่ยวจะต้องนอนพักในโรงแรมที่เมืองมาเล ก่อน 1 คืน รุ่งสางถึงเดินทางต่อไปได้ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยเป็นหลัก

คู่รักโรแมนติก
เราทะยานออกจากสนามบินสุวรรณภูมิในช่วงเย็น ใช้เวลาบินลัดฟ้าราว 4 ชั่วโมง ก็มาถึงดินแดนพันเกาะในตอนค่ำ จากนั้นนั่งเรือสปีดโบ้ทต่อไปอีก 20 นาทีก็ถึง คลับเมด คานิ (Club Med Kani) ที่พักของเราในทริปนี้ แม้จะเป็นเกาะห่างไกลฝั่ง แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบทุกอย่าง นักท่องเที่ยวจึงไม่รู้สึกอ้างว้างเหมือนถูกปล่อยเกาะ ผู้ชื่นชอบการท้าทายสายลมแสงแดดก็มีกิจกรรมกลางแจ้งให้เลือก อาทิ เรือใบ, วินด์เซิร์ฟ, คยัค, ว่ายน้ำ, กีฬาชายหาด, ดำน้ำตื้น, ดำน้ำลึก
ส่วนคนขี้เบื่อแต่ไม่อยากออกแรง ก็แค่ย้ายก้นไปนั่งจุ้มปุ๊กที่บาร์ริมหาด จิบเครื่องดื่มเย็นๆ ที่บริการฟรี พร้อมนั่งมองดูฉลามน้อยล่าเหยื่อก็เพลินไปอีกแบบ หรือจะไปนอนนวดในสปาก็เป็นการฆ่าเวลาที่ไม่เลว แต่หากใครอยากเหินฟ้าขึ้นดูมัลดีฟส์ในมุมสูง ติดต่อซื้อทัวร์บินไปกับซีเพลนได้จากที่พัก นักบินจะพาคุณร่อนเหนือหมู่เกาะน้อยใหญ่ราว 20 นาที ก่อนจะพากลับมาส่งในจุดเดิมอย่างปลอดภัย แต่ต้องแลกกับเงินในกระเป๋าที่หายไปเกือบครึ่งหมื่น!!!

สีสันบาร์ริมหาดยามค่ำ
มีโอกาสมาเยือนมัลดีฟส์ทั้งที ไม่ควรนอนเอกเขนกตีพุงอยู่แต่ในรีสอร์ทหรู ลองแวะไปดูวิถีชีวิตของชาวพื้นเมืองมาเลดูบ้าง จะได้อะไรใส่สมองมากกว่าที่คิด และคุ้มกับค่าเงินที่เสียไป แค่นั่งเรือเร็วไป-กลับไม่เกินชั่วโมง และเปิดใจให้กว้างๆ ก็จะได้สัมผัสความจริงอีกด้านที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่เคยรับรู้ เมืองมาเลไม่ใหญ่โตโอ่อ่าแต่น่ารัก เดินเรื่อยๆ ไปตามถนนแคบๆ สัก 45 นาที ก็วนได้รอบเกาะแล้ว ชาวเมืองมีอัธยาศัยไมตรีและรอยยิ้มให้นักท่องเที่ยวเสมอ
ตลาดปลาเป็นจุดแรกที่ควรไปดู ที่นี่สะท้อนวัฒนธรรมการกินอยู่ของคนมัลดีฟส์ขนานแท้ดั้งเดิมได้ดีที่สุด เห็นปลาทูน่าสดๆ ตัวโตๆ เนื้อแน่นๆ แล้วน้ำลายไหล คิดถึงรสชาติซาซิมิขึ้นมาจับใจ ใกล้กันในย่านท่าจอดเรือประมง ที่นี่จะได้ชมวิถีชีวิตชาวเกาะห่างไกล แวะเวียนมาซื้อข้าวของเครื่องใช้กลับบ้านกันอย่างคึกคัก เห็นแล้วแอบอิจฉาชีวิตพอเพียงที่มีอิสรเสรี ได้พายเรือไม้ลำเล็กคู่กายท่องไปในทะเลกว้างตามหัวใจเรียกร้อง

ลูกค้าเลือกซื้อทูน่าในตลาดปลา
มามัลดีฟส์อย่าฝันถึงการช็อปปิ้ง เพราะเหลือบตาแลสินค้าส่วนใหญ่ล้วนประทับตรา เมดอินไชน่า, เวียดนาม และไทยแลนด์ ของที่ระลึกก็ขนข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเจเจ (จตุจักร) และย่านประตูน้ำบ้านเรา บางชิ้นยังไม่แกะป้ายราคาเก่าออกเลย ฉะนั้น สิ่งที่ควรนำกลับไปมากที่สุดคือประสบการณ์ในการเดินทาง ความทรงจำและภาพถ่ายสวยๆ

รอยยิ้มพิมพ์ใจจากสาวมาเล
หายสงสัยแล้วว่าทำไมมัลดีฟส์ ถึงเป็นเกาะสวรรค์ในฝันของนักเดินทาง เพราะความที่อยู่โดดเดี่ยวกลางมหาสมุทร มีหาดทรายขาวละเอียดทอดตัวยาวเหยียดให้เดินเล่นนุ่มเท้า เกลียวคลื่นสาดซัดฟองขาวกระจายเข้าหาฝั่ง เมฆขาวลอยเด่นบนท้องฟ้าตัดกับสีน้ำเงินเข้มของน้ำทะเลใสแจ๋ว มองเห็นฝูงปลาสีลูกกวาดแหวกว่ายหยอกล้อไปมาตามแนวปะการัง ยิ่งยามเย็นหลายคู่เดินจู๋จี๋บนหาดงามในยามตะวันลับฟ้าแล้วตาร้อนผ่าว คิดถึงคำพูดของใครบางคนที่ว่า "อาทิตย์ตกดินที่ไหนก็เหมือนกัน แต่จะสวยและโรแมนติกหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่ว่าไปดูกับใคร" อืม... ท่าจะจริงแฮะ

มาเลเมืองหลวงมัลดีฟส์
ยังไม่รู้ว่าอีก 50 ปีข้างหน้า ดินแดนเกาะสวาทหาดสวรรค์แห่งนี้จะจมหายใต้ผืนน้ำสีคราม กลายเป็นตำนานให้เล่าขานเหมือนทวีปแอตแลนติส ตามคำบอกเล่าหรือไม่ พราะหากโลกยังร้อนขึ้นเรื่อยๆ คนที่นี่ก็คงไม่ใช่ผู้กุมชะตากรรมตัวเองไว้เพียงฝ่ายเดียว แต่มันตกอยู่ในกำมือของมนุษยชาติ ที่จะมีส่วนช่วยกันประคับประคองให้แผ่นดินมัลดีฟส์ ได้มีโอกาสปรากฏบนแผนที่โลกต่อไปหรือไม่ต่างหาก
อยากรู้เรื่องราวของมัลดีฟส์เพิ่มเติม ลองคลิกไปที่ http://www.paimaldives.com/ หรือโทร.0-2935-5700 จะได้รับความกระจ่างมากขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก






