เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก youtube.com , รายการตีสิบ
วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาเพื่อน ๆ ไปสัมผัสกับชีวิตของหญิงสาว ที่ไม่ต้องพึ่งแขนและขาก็เป็นคนดีของสังคมได้ คนที่กำลังท้อแท้ในชีวิต ลองหันกลับมามองเธอคนนี้ แล้วคุณจะรู้ว่าชีวิตยังมีอะไรดี ๆ ให้ได้ค้นหาอีกมากมาย และคุณจะเชื่อว่าความสุขสร้างขึ้นได้ด้วยตัวคุณเอง
เธอคนนี้เกิดมาร่างกายไม่สมบูรณ์ ไม่มีแขน ไม่มีขา แต่เธอกลับสู้ชีวิตปัจจุบันเธอสามารถเลี้ยงตัวเอง ที่สำคัญเธอทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบปริญญาตรี เธอต่อสู้กับความพิการและใช้ชีวิตเหมือนคนปกติในสังคมได้อย่างดี นั่นก็คือ นุ้ย หรือ นางสาวธนารี ฟุ้งภิญโญภาพ อายุ 29 ปี จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช คณะนิเทศศาสตร์ เอกประชาสัมพันธ์ โดยใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนเพียง 3 ปีครึ่ง เพราะเธอเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า "ถ้ามีความรู้ ย่อมมีโอกาสได้งานที่ดีทำ" ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ศูนย์คณะพระมหาไถ่ พัทยา ในตำแหน่งรับจองห้องพัก
"ดูภายนอกนุ้ยอาจจะไม่สมบูรณ์พร้อม แต่เราก็ยังใช้ชีวิตได้อย่างปกติเหมือนคนทั่วไป นุ้ยว่าการเลี้ยงดูเป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้พ่อแม่นุ้ยจะเลิกกันตั้งแต่เล็ก นุ้ยอยู่กับพ่อ และพ่อพยายามจะเลี้ยงดูเราให้เหมือนคนปกติทั่วไป เคยมีกระแสว่าทำไมไม่เอานุ้ยไปทิ้งไว้ที่สถานสงเคราะห์ แต่พ่อก็ไม่ทำ พ่อมองว่าโตขึ้นนุ้ยจะไม่ได้เป็นภาระของใคร พ่อจะสอนนุ้ยเสมอว่าลูกพิการแต่ตัวแต่ไม่ได้พิการใจ คนที่มองลูกด้วยสายตาดูถูกต่างหากที่เค้าพิการใจ ลูกยังเดินได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่าง ไม่ได้ทำตัวเป็นภาระของใคร จงภาคภูมิใจในความสามารถของลูก พ่อสอนให้เรียนรู้ที่จะยอมรับความจริง เพื่อก้าวเดินต่อไปข้างหน้า และพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่า ไม่มีสิ่งไหนในโลกใบนี้ที่หากเพียรพยายามอย่างเต็มกำลังแล้ว จะทำไม่ได้ แม้ต้องใช้กำลังกาย กำลังใจ เวลา และการทุ่มเทมากกว่าคนอื่นเป็นร้อยเท่า พันเท่า แต่เมื่อถึงความสำเร็จ รางวัลก็จะมากกว่าคนอื่นเป็นร้อยเท่าพันเท่าเช่นกัน" นุ้ย เปิดใจ
นุ้ย กล่าวอีกว่า ตอนเด็ก ๆ มีคนแนะนำให้คุณพ่อพาไปใส่แขนขาเทียมที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งคุณหมอก็บอกมาว่า สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ที่กายอุปกรณ์ แต่เป็นที่จิตใจ ทำอย่างไรให้เค้ายอมรับในสายตาที่คนมองได้ โดยที่เค้าไม่รู้สึกว่าเค้าแปลกกว่าคนอื่น นั่นคือสิ่งสำคัญ และกายอุปกรณ์มันมีเวลา ต้องเปลี่ยนทำกายภาพบำบัดทุก ๆ 6 เดือน ซึ่งตรงนั้นพ่อไม่มีเวลาพาเราไปเข้าคอร์สแบบนั้นตลอด เพราะเมื่อ 20 ปีก่อน มันไม่ใช่เทคโนโลยีเหมือนสมัยนี้ คุณหมอจึงแนะนำว่าให้ธรรมชาติช่วยเหลือเค้า แล้วถึงวันนั้นเค้าจะไม่ต้องการกายอุปกรณ์ ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่คุณหมอแนะนำ พอหลังจากนั้นพ่อก็พาเราไปทุก ๆ ที่ที่มีคนเยอะ ๆ และบอกเราเสมอว่าไม่ต้องไปอาย ไม่ต้องไปแคร์ เพราะเราไม่ได้ทำอะไรผิด เราไม่ได้ไปขอข้าวใครกิน และเราก็เป็นคนปกติเหมือนคนอื่นทั่วไป
ทุกวันนี้ นุ้ย ก็ใช้ชีวิตปกติเฉกเช่นคนทั่ว ๆ ไป ไม่ว่าจะเป็น การเขียนหนังสือ พิมพ์คอมพิวเตอร์ ชงกาแฟ แปรงฟัน กินข้าว แต่งหน้า ทาแป้ง หรือแม้แต่สอยเข็ม คือเรียกได้ว่าไม่จำเป็นต้องใช้กายอุปรณ์อะไรใด ๆ ช่วย แถม นุ้ย ยังเป็นคนรักสวยรักงาม อารมณ์ดี สดใส ร่าเริง ไม่เคยคิดว่าความพิการของตัวเองคือปมด้อย และทำให้ชีวิตมัวหมอง แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้เธอก้าวออกไปเผชิญโลกภายนนอกได้อย่างเต็มภาคภูมิใจ
"กำลังใจที่สำคัญต้องมาจากพ่อแม่เป็นหลัก คือพ่อแม่ต้องมีกำลังใจเข้มแข็งมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของคน สายตา พ่อแม่ต้องเป็นหลักให้กับลูก ไม่ต้องไปกลัวสายตาใคร ไม่ต้องไปแคร์ใคร นุ้ยเชื่อมั่นว่าสังคมไทยมีความรักความเมตตาให้กันอยู่แล้ว อาจจะมีบ้างที่คนมองเราไม่ดีก็ปล่อยเค้าไป เค้ารังเกียจก็ปล่อยเค้าไป แต่ตัวเราต้องเข้มแข็ง และพ่อแม่ต้องพาเค้าออกไปสู่สังคมภายนอก อย่าหลบหรือเลี้ยงแบบเก็บอยู่ในบ้าน ไม่ได้เจอใคร เพราะเมื่อวันหนึ่งที่เค้าต้องออกไปเผชิญเค้าจะรู้สึกอาย เค้าจะรู้สึกว่าเค้าแตกต่าง และสุขภาพจิตคือสิ่งที่สำคัญมากที่สุดนุ้ยอยากเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนพิการหลาย ๆ คน ยืนหยัดด้วยความสามารถของตัวเอง เพราะนุ้ยเชื่อว่าความพิการทางร่างกายมิได้เป็นอุปสรรคกับชีวิตเรา" นุ้ย กล่าวทิ้งท้าย
และนี่คือเรื่องราวดี ๆ ของชีวิตที่พระเจ้าไม่ได้ประทานความสมบูรณ์พร้อมมาให้ แต่พวกเขากลับไม่ย่อท้อต่อโชคชะตาของตัวเอง... หวังว่าบทความดี ๆ นี้จะได้กำลังใจให้เพื่อน ๆ ได้ไม่มากก็น้อยค่ะ
ตี10 แม่หัวใจเพชร ไม่เคยคิดจะทิ้งลูก แม้ลูกจะเกิดมาไม่มีแขน-ขา Part 1/4
ตี10 แม่หัวใจเพชร ไม่เคยคิดจะทิ้งลูก แม้ลูกจะเกิดมาไม่มีแขน-ขา Part 2/4
ตี10 แม่หัวใจเพชร ไม่เคยคิดจะทิ้งลูก แม้ลูกจะเกิดมาไม่มีแขน-ขา Part 3/4
ตี10 แม่หัวใจเพชร ไม่เคยคิดจะทิ้งลูก แม้ลูกจะเกิดมาไม่มีแขน-ขา Part 4/4
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
, pantown.com