เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
ยังคงตกเป็นเหยื่ออย่างต่อเนื่อง สำหรับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ทุกวันนี้มีเหยื่อรายหลายออกมาแฉถึงขั้นตอนกระบวนการที่โดนหลอก ให้บรรดาประชาชนรู้เท่าทัน แต่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็สรรหารูปแบบวิธีการหลอกลวงขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เหยื่อตายใจและโอนเงินมาให้ใช้ อย่างสบายมือเลยทีเดียว
โดยเหยื่อรายล่าสุด ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้ฟังว่า ตนมีเงินสะสมอยู่ในธนาคารอยู่ประมาณกว่าล้านบาท ซึ่งตนจะเก็บไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต แต่ก็ต้องเสียเงินที่มีทั้งหมดให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยแก๊งดังกล่าว โทรมาหาตนทำทีว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหนึ่ง แล้วบอกกับตนว่า ตนเป็นหนี้บัตรเครดิตอยู่ 4 หมื่นบาท ก่อนที่จะโอนสายโทรศัพท์ไปมาหลายครั้ง จนครั้งสุดท้าย ถูกโอนสายไปยังชายคนหนึ่งที่อ้างตัวเป็น พันตำรวจโท จากดีเอสไอ ซึ่งชายดังกล่าว บอกกับตนว่า เงินที่อยู่ในบัญชีของตนนั้นเป็นเงินที่ถูกฟอก และมีความผิด ขณะเดียวกัน ก็พยายามหลอกล่อ ถามตนถึงจำนวนเงินในบัญชี ซึ่งตนตกใจเลยบอกจำนวนเงินดังกล่าวไป
จากนั้นคนร้ายก็ได้หลอกให้ตนไปกดเงิน โดยใช้หน้าจอภาษาอังกฤษ เพื่อให้ตนสับสน และหลอกให้ตนโอนเงินจำนวน 99,999 บาท ถึงสองครั้ง และให้ตนทำลายสลิปต์เงินทันที โดยอ้างว่าเป็นรหัสลับของทางราชการ อีกทั้งยังให้ตนเบิกเงินจากธนาคารจำนวน 1 ล้านบาท และไม่ยอมให้บอกใคร พร้อมทั้งติดตามดูพฤติกรรมของตนผ่านกล้องวงจรปิด เสร็จแล้วก็ให้ตนนำเงินเหล่านั้นโอนเข้าเครื่องรับฝากอัตโนมัติ จำนวน 3 บัญชี โดนโอนครั้งละ 100,000-200,000 บาท จนจำนวนเงินครบล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้น คนร้ายยังทราบว่า ตนมีเงินอยู่ในธนาคารอื่นอีกจำนวนหนึ่ง จึงออกอุบายให้ตนไปทำธุรกรรมลักษณะดังกล่าวต่อ แต่หลานสาวของตนทราบเรื่อง จึงสั่งระงับเงินที่เหลืออยู่ได้ ทำให้คนร้ายไหวตัวทัน และหนีไปได้ในที่สุด
ทางด้าน พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ได้เปิดเผยข้อมูลในการระดมกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์พร้อมกัน 7 ประเทศ โดยระบุว่า มีต้องหาทั้งสิ้น 692 คน เป็นชาวไต้หวัน 471 คน, จีน 214 คน, เวียดนาม 1 คน, เขมร 1 คน, เกาหลีใต้ 2 คน และไทย 3 คน ทั้งนี้คนร้ายในประเทศไทย จะอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร และบอกว่ามีหนี้บัตรเครดิต เสร็จแล้วจะโอนสายไปยังผู้ที่อ้างตนว่าเป็นตำรวจและบอกว่าเงินของเหยื่อเป็นเงินที่ถูกฟอก ซึ่งเหยื่อที่หลงกลเชื่อ ก็จะโอนเงินให้ทางเอทีเอ็ม โดยอ้างว่าเป็นบัญชีกลางของทางราชการ
ล่าสุด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็มีกลยุทธใหม่ ๆ เพราะกลยุทธ์แบบเดิมเริ่มใช้ไม่ได้ผล โดยวิธีใหม่นั้น เป็นการเรียกค่าไถ่ ซึ่งคนร้ายจะโทรศัพท์เข้าบ้านในช่วงเวลากลางวัน เพื่อให้ผู้สูงอายุที่บ้านรับสาย แล้วอ้างว่า ลูกหลานและญาติ ถูกจับไปเป็นตัวประกัน เพราะไปค้ำประกันให้คนอื่น จากนั้นก็ทำเสียงเหมือนว่ามีการทำร้ายร่างกาย ทำให้เหยื่อเกิดความกลัว ต้องโอนเงินให้คนร้ายในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะมาในรูปแบบไหน อยากให้ประชาชนระมัดระวัง และไม่ให้หลงเชื่อโอนเงินให้ผู้อื่นง่าย ๆ อีกทั้ง อย่าให้เลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลส่วนตัวกับโทรศัพท์ที่ไม่น่าไว้วางใจเด็ดขาด
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก