เปิดหัวใจผู้กล้า กับภารกิจ...พาเพื่อนกลับบ้าน

 





ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Youtube.com โพสต์โดย CiNNtv1

           ในขณะที่เรากำลังโศกเศร้ากับการจากไปของนายทหาร 17 ชีวิต ซึ่งพลีชีพจากเหตุที่เกี่ยวเนื่องกับการปกป้องผืนป่าของแผ่นดินไทย และยกย่องให้ท่านทั้งหลายเป็น "ฮีโร่" ของประเทศชาติที่คนไทยจะไม่ลืมเลือน ทว่า...ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่เบื้องหลังภารกิจครั้งนี้ และเราทุกคนก็ควรจะมอบเสียงปรบมือ ส่งกำลังใจ และคำชื่นชมไปให้พวกเขา "เหล่าทีมกู้ภัย" ที่เร่งบุกป่าฝ่าดงรกชัฏ เข้าไปกู้ภัยเฮลิคอปเตอร์ตกด้วยความหวังที่จะพบผู้รอดชีวิต แม้ว่าในท้ายที่สุดแล้ว "ภารกิจช่วยชีวิต" จะกลับกลายเป็น "ภารกิจพาเพื่อนกลับบ้าน" หลังจากพบว่า ผู้โดยสารเฮลิคอปเตอร์เสียชีวิตยกลำ

           โดยทีมกู้ภัยชุดนี้ ประกอบด้วยคณะเจ้าหน้าที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน รวมทั้งเหล่าทหารอีกจำนวนนับร้อยชีวิต มีนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หรือ พี่ชัยวัฒน์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เป็นหัวหน้าชุด ซึ่งหลังจากได้รับแจ้งว่า เฮลิคอปเตอร์ฮิวอี้ตกกลางป่า ณ วันที่ 16 กรกฎาคม พี่ชัยวัฒน์ ได้ตัดสินใจขึ้นเฮลิคอปเตอร์ฝ่าเมฆหมอกที่มืดทึบไปตรวจดูเหตุการณ์ด้วยตัวเองทันทีถึง 2 ครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปยังจุดที่เฮลิคอปเตอร์ตกได้ เพราะสภาพอากาศเลวร้ายเป็นอย่างยิ่ง 

           สุดท้ายแล้ว เจ้าหน้าที่ประมาณ 60 นาย ต้องมาตั้งฐานอยู่ที่เขาพะเนินทุ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 15 กิโลเมตร หากบินด้วยเฮลิคอปเตอร์จะถึงภายใน 5 นาที แต่ทว่า เมื่อเฮลิคอปเตอร์ไม่สามารถเข้าถึงได้ ทีมกู้ภัยจึงต้องเดินเท้าเข้าไปแทน และแทบไม่น่าเชื่อว่า แม้แต่ผู้ชำนาญทางแล้ว ก็ยังต้องใช้เวลาเดินอย่างน้อยถึง 3 วัน 




           พี่ชัยวัฒน์เองก็เป็นหนึ่งในทีมเดินเท้าเข้าไปกู้ภัยในป่า ในฐานะทีมสนับสนุน โดยขนเสบียงอาหาร เวชภัณฑ์ เปลต่าง ๆ เข้าไปในป่าด้วย เพื่อหวังจะใช้ช่วยชีวิตผู้ประสบเหตุ แต่ทว่า หลังจากใช้เวลาเดินทางหลายวันเข้าไปถึงจุดเกิดเหตุ พี่ชัยวัฒน์ กลับได้รับรายงานอันน่าสลดว่า ทหารทั้้ง 5 นายเสียชีวิตแล้วทั้งหมด เขาจึงต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับมาที่ฐาน เพื่อเปลี่ยนแผนใหม่เป็นการเตรียมอุปกรณ์นำร่างผู้เสียชีวิตกลับบ้านแทน 

           จากนั้น ทางเจ้าหน้าที่ได้วางแผนภารกิจพาเพื่อนกลับบ้านครั้งนี้ไว้ว่า จะต้องกอบกู้ร่างผู้เสียชีวิตทั้งหมดมาไว้ที่เนิน 1100 ให้ได้ก่อน เพื่อจะได้นำเฮลิคอปเตอร์เข้าไปรับที่เนิน 1100 ต่อไป ซึ่งแม้ว่าเนิน 1100 อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 200 เมตร แต่หนทางข้างหน้าช่างยากลำบากนัก เพราะเจ้าหน้าที่ต้องตัดไม้ไผ่เป็นรางเลื่อนทำเป็นรอก เพื่อดึงคนและร่างผู้เสียชีวิตขึ้นมาด้วยกัน ในที่สุดภารกิจก็สำเร็จในระดับหนึ่ง เมื่อเจ้าหน้าที่สามารถลำเลียงร่างผู้เสียชีวิตมายังเนิน 1100 ได้ แต่ทว่าด้วยสภาพอากาศที่ปิดทั้งที่เนิน 1100 และเนิน 900 เฮลิคอปเตอร์ที่บินมาจึงไม่สามารถลงไปรับร่างผู้เสียชีวิตได้เลย




           และในเวลาต่อมา ในช่วงสายของวันที่ 19 กรกฎาคม เฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กนำโดย พล.ต.ตะวัน เรืองศรี ได้ขึ้นบินจากฐาน เพื่อจะเดินทางไปรับร่างผู้เสียชีวิตที่เนิน 1100 ขณะที่พี่ชัยวัฒน์กับลูกน้องได้นั่งเฮลิคอปเตอร์ของกระทรวงทรัพย์ฯตามมาอยู่ห่าง ๆ เพื่อจะลงเนิน 900 แต่ระหว่างที่ฟังวิทยุสื่อสารบนเฮลิคอปเตอร์ พี่ชัยวัฒน์ก็ได้ยินเสียงวิทยุสื่อสารผ่านมาจากวิทยุของเครื่องแบล็กฮอว์กว่า "ยกตัวสูงขึ้น ยกตัวสูงขึ้น" หลังจากสิ้นเสียงนั้นไม่ถึง 10 วินาที เจ้าหน้าที่วิทยุอีกทางก็แจ้งมาทันทีว่า "แบล็กฮอว์กตกแล้ว" ทำเอาเจ้าหน้าที่ทุกนายรวมทั้งพี่ชัยวัฒน์ตกใจเป็นอย่างมาก 

           "หลังจากได้ยินว่าแบล็กฮอว์กตก พี่ชาย (กัปตันเฮลิคอปเตอร์กระทรวงทรัพย์ฯ) วอบอกให้ ฮ.ของกระทรวงเกษตรฯ ที่ตามมากลับไปก่อน แต่ผมบอกให้พี่ชายพาผมลงที่เนิน 900 ให้ได้ เพราะหากเครื่องแบล็กฮอว์กตกแล้วมีคนรอด ผมจะเป็นความหวัง เพราะลูกน้องของผมมาอยู่หลายวันแล้ว สภาพร่างกายก็อ่อนล้าเต็มทีแล้ว แต่ถ้าผมอยู่ ผมว่าลูกน้องยังมีกำลังใจได้บ้าง" พี่ชัยวัฒน์ เผยเหตุการณ์ในขณะนั้น

           ในที่สุด เฮลิคอปเตอร์ของกระทรวงทรัพย์ฯ ก็สามารถส่งพี่ชัยวัฒน์ และลูกน้องอีก 2 คน ลงไปยังเนิน 900 ได้สำเร็จ และทันทีที่เท้าแตะพื้น พี่ชัยวัฒน์พร้อมด้วยลูกน้องต่างเตรียมสัมภาระ เพื่อเดินเท้าไปยังเนิน 1100 ซึ่งห่างกันเพียงแค่ 900 เมตร แต่กลับต้องใช้เวลาเดินนานถึง 5 ชั่วโมงกว่า เนื่องจากภูมิประเทศเป็นหุบเขาสูงชันกว่า 80-90 องศา โดยที่เนิน 1100 นี้ยังมีลูกน้องของพี่ชัยวัฒน์ และร่างของผู้เสียชีวิต 5 นายรอเฮลิคอปเตอร์มารับกลับอยู่



           ทันทีที่ทุกคนทราบว่า แบล็กฮอว์กที่กำลังจะมารับพวกเขากลับบ้านประสบอุบัติเหตุตก ทุกคนต่างใจหายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำสอง ณ ตอนนั้น พี่ชัยวัฒน์สั่งการว่า ภารกิจที่จะต้องทำเร่งด่วนขณะนี้ก็คือ ต้องพาทหารทั้ง 5 นายที่เสียชีวิตกลับไปหาครอบครัวให้จงได้ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม ซึ่งลูกน้องของพี่ชัยวัฒน์ทุกคนก็ตกลงจะรวมใจกันจะทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จให้จงได้ 

           ในวันที่ 20 กรกฎาคมนั้นเอง พวกเขาตัดสินใจพาร่างไร้วิญญาณของผู้เสียชีวิตทั้ง 5 ท่านแบกขึ้นหลังเจ้าหน้าที่แบบตัวต่อตัว เดินทางไต่เขา และฝ่าหุบเขาในเส้นทางที่แสนจะยากลำบาก มุ่งหน้าไปยังเนิน 900 ซึ่งก่อนออกเดินทางในช่วงเช้า พี่ชัยวัฒน์ก็ได้พูดกับร่างของผู้เสียสละทั้ง 5 ชีวิตด้วยความรู้สึกที่กลั่นออกมาจากใจว่า 

           "ขามาผมเดินมา 5 ชั่วโมงครึ่ง แต่ผมนัด ฮ.ไว้ช่วงเที่ยง ผมจะพาท่านกลับบ้าน ท่านต้องพาผมกลับ แต่ถ้าท่านไม่พาผมกลับ ลูกเมียท่านรออยู่นะ ผมจะเดินนำหน้า เบิกทางให้ เปิดเส้นทางใหม่ ดังนั้นขากลับต้องถึงเร็วกว่าขามา"

           และแทบไม่น่าเชื่อว่า หลังจากเริ่มออกเดินทาง ทีมของพี่ชัยวัฒน์กลับสามารถนำร่างของผู้เสียชีวิตเดินทางมาถึงเนิน 900 ได้ภายในเวลาเพียงแค่ 3 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ซึ่งเขาเชื่อว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 5 นายเป็นคนนำทางให้เขา 

           "ตลอดเวลาเดินทาง ผมและลูกน้องก็มีการนั่งพักสลับกัน ซึ่งทุกครั้งที่จะนั่งพักก็จะบอกกับร่างของผู้เสียชีวิตที่แบกอยู่ว่า จะนั่งแล้วนะ เราคุยกันตลอดเวลาเหมือนว่าเขามีชีวิต เขาเป็นเพื่อนเรา เขาเป็นคนหนึ่งที่เราตั้งใจอยู่แล้วว่า เขาจะมีชีวิตเพื่อกลับไปหาครอบครัวให้ได้ ความตั้งใจของผมมีแค่นั้น" พี่ชัยวัฒน์ เผย



           ในที่สุด ทีมของพี่ชัยวัฒน์ก็ได้นำร่างของผู้เสียชีวิตมายังเนิน 900 เพื่อรอเฮลิคอปเตอร์มารับ แต่กว่าที่เฮลิคอปเตอร์จะลงมารับได้ก็ต้องวนอยู่หลายรอบ เพราะสภาพอากาศปิดตลอดเวลา โชคดีที่ยังมีสภาพอากาศเปิดให้เห็นในช่วงสั้น ๆ และเมื่อโอกาสเช่นนั้นเปิดขึ้น เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องทำงานแข่งกับเวลา เพื่อลำเลียงร่างของผู้เสียชีวิตขึ้นเฮลิคอปเตอร์ให้บินออกไปให้ได้ ซึ่งก็ทำสำเร็จ เฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำสามารถรับร่างของผู้เสียชีวิต และทีมของพี่ชัยวัฒน์ส่วนหนึ่งกลับออกจากเนิน 900 ไปได้อย่างปลอดภัย แม้จะเจอกับกระแสลมหมุนอยู่บ้าง

           แม้ว่าภารกิจกู้ร่างผู้เสียชีวิตฮิวอี้จะสิ้นสุดลงแล้ว เมื่อร่างของผู้เสียชีวิตทั้ง 5 นาย ได้กลับไปหาครอบครัวที่พวกเขารัก แต่ภารกิจการกู้ภัยยังไม่จบ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ยังหาซากเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กที่ตกในเขตพม่าไม่พบ พี่ชัยวัฒน์จึงได้ประสานไปยังฝั่งพม่า และชาวกะเหรี่ยงผู้ชำนาญพื้นที่เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ต้องพบกับความยากลำบากเพิ่มขึ้นอีก เมื่อได้รับแจ้งว่า พื้นที่ที่จะเข้าไปยังฝั่งพม่าเต็มไปด้วยกับระเบิด 

           โดยในวันที่ 21 กรกฎาคม พี่ชัยวัฒน์วางแผนสับเปลี่ยนกำลังใหม่ เพราะกำลังเดิมที่เข้าป่าไป 4 วันอ่อนล้าเต็มทีแล้ว เนื่องจากต้องเผชิญกับสภาพ ฝนตกสลับหยุดทั้งคืนกว่า 21 ครั้ง ไม่เห็นแสงแดด แม้แต่จะจุดไฟก็จุดไม่ติด ทานแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแห้ง ๆ ทางพี่ชัยวัฒน์จึงต้องนำกำลังชุดใหม่ขึ้นไปแทนที่กำลังชุดเดิมที่รออยู่ที่เนิน 900 

           เมื่อกำลังชุดใหม่เดินเท้าขึ้นไปถึงพร้อมกับพี่ชัยวัฒน์ ภารกิจกลับต้องเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เมื่อพี่ชัยวัฒน์ยังไม่สามารถพาลูกน้องชุดแรกกลับลง มาได้ เพราะเล็งเห็นว่า เนิน 900 ลงจอด ฮ.ยาก จึงต้องให้ช่วยกันสร้างลานจอด ฮ.ที่เนิน 860 ซึ่งจะหลบลมได้ดีกว่าแทน และให้ลูกน้องชุดแรกอยู่รอที่เนิน 860 ก่อน ณ วันนั้น พี่ชัยวัฒน์เองก็ทราบดีว่า แม้ลูกน้องทุกคนจะมีหัวใจที่กล้าแข็ง แต่ก็เหนื่อยล้าอ่อนกำลังเต็มทีแล้ว เขาจึงเข้าไปกอดให้กำลังใจลูกน้อง พร้อมกับยืนยันว่า จะไม่ทิ้งพวกเขาแน่นอน และจะกลับมารับที่เนิน 860 ภายหลัง ซึ่งลูกน้องทุกคนก็เข้าใจเป็นอย่างดี เพราะเชื่อใจในหัวหน้าคนนี้



           พี่ชัยวัฒน์จัดแบ่งหน้าที่ให้กำลังชุดใหม่ต่าง ๆ กัน ทั้งสร้างลานจอด ฮ. แบกเสบียงอาหารเข้าไปในป่า เพื่อหวังจะให้ผู้รอดชีวิตได้กินประทังชีพ จนกระทั่งในวันที่ 23 กรกฎาคม มีรายงานว่า พบร่างผู้เสียชีวิตจากเหตุแบล็กฮอว์กตกแล้ว และทั้ง 9 ชีวิตเสียชีวิตทั้งหมด คำพูดนี้ฉุดให้กำลังใจและความหวังของทีมของพี่ชัยวัฒน์ลดลงราวกับว่าทุกสิ่งที่ทำมาล้มเหลว แต่เขาก็ยังเดินหน้าจะพาร่างของผู้เสียชีวิตกลับบ้านให้ได้เหมือนที่ทำสำเร็จมาแล้วกับเหตุเฮลิคอปเตอร์ฮิวอี้

           แต่ทว่าความยากลำบากของการกอบกู้ร่างผู้เสียชีวิตครั้งนี้ก็คือ กำลังคนเริ่มร่อยหรอและหมดสภาพไปมากแล้ว เพราะทั้งเจ้าหน้าที่และทหารอยู่ในป่ามาหลายวัน ไม่ได้นอน และไม่มีเสบียงอาหาร แต่พี่ชัยวัฒน์เองกลับเป็นคนเข้าไปปลุกใจทหารว่า "พวกเราต้องทำ ถ้าไม่ทำแล้วใครจะทำ" จากนั้นเขาก็เริ่มลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งกอบกู้ศพ แบกของ แบกร่างผู้เสียชีวิต เพื่อจะพาเพื่อนกลับบ้านให้จงได้ แม้จะไม่เคยคาดคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะต้องมาทำภารกิจนี้ 

           พี่ชัยวัฒน์ เล่าเหตุการณ์ในช่วงที่ต้องพาร่างผู้เสียชีวิตจากเหตุแบล็กฮอว์กตกไปยังเนิน 1100 ว่า เส้นทางรอบนี้หนักหนาสาหัสกว่าการเดินทางจากจุดที่ฮิวอี้ตกไปเนิน 1100 เป็นสามเท่า เพราะไกลกว่ามาก อีกทั้งเขาก็สูงชันกว่ามาก แต่ในที่สุด ทุกคนก็สามารถพาร่างของผู้เสียชีวิตทั้ง 9 นายมาส่งยังเนิน 1100 และลำเลียงต่อไปยังเนิน 860 ก่อนที่เฮลิคอปเตอร์จะทยอยบินมารับร่างของพวกท่านทั้ง 9 คน กลับยังไปศูนย์การฝึกพิเศษแก่งกระจาน

           ในขณะพี่ชัยวัฒน์ และเจ้าหน้าที่ทุกคนกำลังลำเลียงร่างของผู้เสียชีวิตจากเหตุแบล็กฮอว์กตกชุดสุดท้ายขึ้นเฮลิคอปเตอร์จากเนิน 860 เพื่อจะกลับไปหาครอบครัวที่ศูนย์การฝึกพิเศษแก่งกระจาน พี่ชัยวัฒน์ก็ได้รับข่าวจากวิทยุสื่อสารว่า เฮลิคอปเตอร์เบลล์ 212 ตกเป็นครั้งที่ 3 

           "ตอนนั้นผมกับลูกน้อง และทหารอยู่ที่เนิน 860 กำลังลำเลียงร่างผู้เสียชีวิตขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ทหารทุกนายเมื่อเห็นร่างผู้เสียชีวิต ผ่านมาก็จะน้ำตาไหลทุกคน ผมก็บอกเขาว่า ภารกิจใกล้จะจบแล้ว จะหมดแล้ว ทุกคนเต็มที่แล้ว เราทุกคนก็หายเหนื่อย พอได้ยินเสียงว่า ฮ.ตกอีก ทุกคนอุทานขึ้นมาพร้อม ๆ กันว่า "อะไรวะ อะไรอีกวะ" คือทุกคนรับไม่ได้แล้ว มันไม่ไหวแล้วในตอนนั้น แม้แต่ผมเองก็เข่าอ่อน" ...นี่คือความรู้สึกของพี่ชัยวัฒน์ในขณะนั้น

           ขณะที่  ร.อ.สมเกียรติ ศุภวงศ์ ซึ่งเป็นนักบินของเฮลิคอปเตอร์กระทรวงทรัพย์ฯ และกำลังเตรียมจะบินไปรับร่างของผู้เสียชีวิตอีก 7 นายสุดท้ายที่ยังอยู่ที่เนิน 860 เมื่อได้ยินข่าวว่า เฮลิคอปเตอร์เบลล์ตกอีกครั้งเป็นลำที่ 3 เขาก็รู้สึกเสียใจมาก

           "ตอนนั้นผมกำลังเช็คเฮลิคอปเตอร์เตรียมจะขึ้นบิน พอได้ยินข่าวก็เข่าอ่อนเลย ถามไปว่า ทำไมพวกเราต้องไปอีกแล้ว เสียใจมากแม้จะอยู่กันคนละหน่วยงานก็ตาม แต่ด้วยหน้าที่ยังไงเราก็ต้องบินไป เราไม่ทำไม่ได้ ร่างผู้เสียชีวิตยังอยู่ด้านใน เราต้องปฏิบัติ เพราะญาติเขารออยู่" พี่สมเกียรติ บอกความรู้สึกขณะนั้น



           ในที่สุด การเดินทางไปรับร่างของผู้เสียชีวิตอีก 7 นายที่เนิน 860 ก็ประสบความสำเร็จลงด้วยดี แม้ว่าทุกครั้งที่บินไปกลับล้วนต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากสภาพอากาศทุกครั้ง ซึ่งก็ทำให้นักบินและผู้โดยสารบนเฮลิคอปเตอร์ต้องเสี่ยงตายไม่ต่ำกว่า 30-40 เที่ยว แต่เพราะความตั้งใจจริง ความร่วมมือของทุกฝ่าย และกำลังใจของคนไทยทั่วประเทศก็ช่วยให้ภารกิจครั้งนี้ผ่านพ้นไปได้

           และหลังจาก "ภารกิจพาเพื่อนกลับบ้าน" เสร็จสิ้น เฮลิคอปเตอร์ก็เดินทางกลับมารับเจ้าหน้าที่และทหารอีกเกือบร้อยชีวิตที่ยังรออยู่ยังเนิน 860 เพื่อกลับไปหาครอบครัวของเขาเช่นกัน ณ วันนั้น พี่ชัยวัฒน์ บอกให้ลูกน้องทุกคนขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปก่อน ส่วนตัวเขาจะขอกลับออกจากป่าไปเป็นคนสุดท้าย เพื่อจะไปบวงสรวงบอกลาเจ้าที่เจ้าทาง ว่า ณ บัดนี้ได้นำร่างผู้เสียชีวิตกลับทั้งหมดแล้วตามที่ได้ขอไว้ และขอให้ความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นนี้อย่าเกิดขึ้นอีกเลย พร้อมกับให้คำมั่นปฏิญาณด้วยว่า

           "เจ้าหน้าที่ทุกนายขอสัญญาว่า จะดูแลป่า จะทำที่อยู่ของท่านให้สวยงาม ให้ป่าสวยสมบูรณ์ เราจะปกป้องป่าแห่งนี้จากภัยคุกคามต่าง ๆ ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ให้ดูแลรักษาผืนป่าแห่งนี้ให้อยู่คู่คนไทย ไม่จำเป็นต้องเป็นมรดกโลก แต่ขอให้เป็นมรดกของแผ่นดิน" พี่ชัยวัฒน์ ทิ้งท้าย

           และนี่ก็คืออีกหนึ่งฮีโร่ของคนไทย ซึ่งเปรียบเสมือนบุคคลที่ทำหน้าที่ "ปิดทองหลังพระ" ในเหตุการณ์อันน่าสลดครั้งนี้ พวกเราทุกคนจึงขอยกย่อง และขอสดุดีคุณชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ และทหารทุกนายนับร้อยชีวิตที่ร่วมแรงร่วมใจกันปฏิบัติภารกิจพาเพื่อนกลับบ้านครั้งนี้ แม้ว่าระหว่างทางที่จะไปสู่จุดหมายจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อชีวิต และอุปสรรคนานัปการ แต่ในที่สุดพวกเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างประสบความสำเร็จด้วยหัวใจเกินร้อย

           พวกเราจะจดจำคุณงามความดีครั้งนี้ของพวกท่านไว้ในใจตลอดกาล และขอให้มีแต่สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในชีวิตของพวกท่านทุกคนค่ะ







ภารกิจพาเพื่อนกลับบ้าน ตอนที่ 1




ภารกิจพาเพื่อนกลับบ้าน ตอนที่ 2




ภารกิจพาเพื่อนกลับบ้าน ตอนที่ 3




คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ได้ที่นี่








เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เปิดหัวใจผู้กล้า กับภารกิจ...พาเพื่อนกลับบ้าน อัปเดตล่าสุด 30 กรกฎาคม 2554 เวลา 15:02:42 59,757 อ่าน
TOP
x close