ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ จักรยานล้อหลุด
หลายครั้งหลายคราแล้วที่สมาชิกเว็บไซต์พันทิปนำเรื่องราวชีวิตรันทดของคนในสังคมที่ได้พบเห็นมาบอกเล่า ระดมความช่วยเหลือกันจนเกิดเป็นธารน้ำใจหลั่งไหลส่งไปยังคนเหล่านั้น และนี่ก็คืออีกหนึ่งเรื่องราวที่มีผู้พบเห็นและนำมาบอกต่อขอความช่วยเหลือกันอีกครั้ง
สำหรับครั้งนี้ เป็นเรื่องราวชีวิตที่น่ารันทดของครอบครัวทองเรือง ที่ต้องเลี้ยงดูลูกสาว "น้องเปียนโน" ด.ญ.ปรายฟ้า ทองเรือง ซึ่งเกิดมาไม่ครบ 32 อย่างยากลำบาก เพราะน้องไม่มีแขนทั้งสองข้าง ส่วนขาทั้งสองข้างก็ยังยาวไม่เท่ากัน โดยขาขวาของน้องสั้นกว่าและมีนิ้วเท้าเพียง 4 นิ้ว ขณะที่ขาซ้ายเป็นปกติ
ด้วยเหตุนี้ คุณพ่อประดิษฐ์ ทองเรือง วัย 30 ปี จึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเลี้ยงดูลูกสาวคนนี้ให้ดีที่สุด เขาได้นำของเก่าที่มีอยู่ในบ้านที่พอรวบรวมได้นั่งรถจากสระบุรีมาวางขายอยู่บริเวณใต้ทางข้ามรังสิต ระหว่างห้างฟิวเจอร์พาร์คและเมเจอร์ฯ เพื่อประทังชีวิต ซึ่งขณะที่นั่งขายของอยู่ริมถนน คุณพ่อก็ได้ป้อนข้าว ป้อนน้ำ และเล่นกับลูกสาววัยน่ารักอย่างมีความสุข จนผู้ที่พบเห็นอดน้ำตาไหลประทับใจไปกับความรักที่คุณพ่อมีต่อลูกสาวไม่ได้
ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ภาพความห่วงหาอาทรของคุณพ่อที่มีต่อลูกสาว ซึ่งผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาได้เห็นตรงหน้า กลับทำให้เงินในกล่องขอรับบริจาคเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ข้าวของที่วางเรียงรายอยู่บนพื้น เพื่อที่จะให้คนที่ช่วยบริจาคเงิน กลับยังคงวางอยู่ที่เดิมไม่มีใครหยิบกลับไปสักชิ้น ทั้ง ๆ ที่ใจจริงแล้ว คุณพ่อปรารถนาจะ "ขาย" มากกว่าการ "ขอ"
และนับเป็นโชคดีที่คุณจักรยานล้อหลุด แห่งเว็บไซต์พันทิป ผ่านไปเห็นคุณพ่อและน้องเปียนโนซึ่งนั่งขายของเข้าพอดี ด้วยความสงสารจึงได้เข้าไปสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ จากคุณพ่อประดิษฐ์ จนได้ทราบว่า บ้านของคุณพ่ออยู่ที่อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี และเดินทางไปกลับรังสิต-สระบุรีอยู่เสมอ เพื่อขายของหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว
หลังจากนั้น คุณจักรยานล้อหลุด จึงได้นำเรื่องราวของคุณพ่อและน้องเปียนโนมาโพสต์ขอความช่วยเหลือไว้ในเว็บไซต์พันทิป จนมีผู้เข้ามาตอบกระทู้แนะนำแนวทางการช่วยเหลือครอบครัวน้องเปียนโนเป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีผู้ช่วยส่งเรื่องราวของน้องไปยังรายการตีสิบ ช่อง 3 รวมทั้งมูลนิธิปวีณาอีกด้วย เพื่อหวังจะให้เรื่องราวของน้องได้รับการตีแผ่สู่สาธารณชน เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือเร็วขึ้น
ขณะเดียวกัน ผู้ใจบุญจำนวนมากที่ได้รับรู้เรื่องนี้ก็ได้ร่วมกันส่งสิ่งของเครื่องใช้ไปให้น้องที่บ้านที่จังหวัดสระบุรี และยังได้ไปตามหาครอบครัวนี้ที่สระบุรี จนได้ทราบว่า คุณพ่อประดิษฐ์เคยเป็นครูดีเด่นประจำอำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ แต่ด้วยปัญหาบางอย่างต้องลาออกจากงาน และย้ายมาอยู่ที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งระหว่างที่อยู่ในสระบุรี คุณพ่อก็ทำงานบริษัทหลายแห่ง แต่หลังจากภรรยาต้องกลับบ้านไปดูแลพ่อแม่ ทำให้คุณพ่อประดิษฐ์ต้องลาออกจากงานประจำมาดูแลน้องเปียนโนแทนภรรยาอย่างเต็มตัว และเริ่มขายของหาเงินประทังชีพ แต่ในช่วงหลัง ๆ นี้ไม่ค่อยได้เดินทางไปขายของที่รังสิตแล้ว เพราะสงสารน้องที่ต้องลำบากนั่งรถไปไกล ๆ ด้วยกันกับเขา จึงได้ตระเวนขายของตามตลาดนัดในสระบุรีแทน
"ตั้งแต่ผมรู้ว่ามีเค้า และเมื่อเค้าเกิดมา ผมตั้งใจจะเลี้ยงดูเค้าให้ดีที่สุด ผมตั้งใจทำงาน เพื่อหาเงินมาเลี้ยงเค้า แต่ด้วยปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้ผมต้องออกมาเลี้ยงลูก ผมไม่ใช่พ่อค้า ผมออกมาขายของ เพราะหาเงินเลี้ยงลูก ผมเอาลูกออกมา เพราะอยากให้เขาออกสู่สังคมภายนอก ถึงเราต่างจากคนอื่นด้านร่างกาย แต่จิตใจและความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน" คุณพ่อบอก และว่า ส่วนตัวแล้วถนัดงานด้านศิลปะ ออกแบบ และตกแต่งกรอบรูป ซึ่งหากหารายได้จากการวาดรูป หรือทำศิลปะได้ก็คงจะสามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้ดีขึ้น
และโชคดีที่ต่อมา คุณแม่ของน้องก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาสามคนพ่อแม่ลูกในห้องเช่าหลังเดิมแล้ว โดยคุณแม่ได้เล่าว่า สมัยก่อนเคยรับจ้างซักผ้ารีดผ้า เพื่อหารายได้พิเศษมาดูแลน้อง แต่ได้เลิกไป เพราะไม่รายได้ไม่คุ้มกับค่าน้ำค่าไฟ ตอนนี้จึงทำได้แต่คอยดูแลน้องเปียนโนอยู่กับบ้าน แต่บ่อยครั้งที่น้องเปียนโนจะร้องขอตามพ่อออกไปตระเวนขายของในสระบุรีด้วยกันตลอด จนเธอเคยถูกเพื่อนบ้านต่อว่าว่าจะพาลูกสาวออกไปลำบากด้วยทำไม แล้วไม่อายหรือที่มีลูกสาวพิการเช่นนี้ ทำให้เธอเสียใจมาก แต่คุณแม่ของน้องก็ยังบอกว่า เธอโชคดีมากที่มีสามีที่ดี (คุณพ่อประดิษฐ์) เพราะไม่เคยรังเกียจ หรือต่อว่าเลยที่มีลูกสาวเป็นแบบนี้ มีแต่คอยให้กำลังใจ
แต่เรื่องหนึ่งที่คุณแม่อดเป็นห่วงน้องเปียนโนไม่ได้เลยก็คือ ในช่วงหนึ่งที่ที่บ้านไม่มีเงินซื้อนมผงให้น้อง คุณพ่อคุณแม่ต้องไปอาศัยข้าวปลาอาหารจากวัดมาประทังชีพ ส่วนลูกสาวก็ต้องซื้อนมข้นหวานให้ทานแทน แต่เมื่อขายของหาเงินมาได้เพิ่มขึ้น คุณพ่อคุณแม่ก็ได้เปลี่ยนไปซื้อนมผงมาให้น้อง แต่ปรากฎว่า คราวนี้ น้องกลับไม่ยอมทานนมผงอีกเลย จะทานแต่เพียงนมข้นหวานอย่างเดียวเท่านั้น แม้ว่าเพื่อนบ้านจะซื้อนมกล่อง และนมกระป๋องมาให้ แต่น้องก็ไม่ยอมทานอยู่ดี ปัญหานี้จึงสร้างความกลุ้มใจให้คุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างมาก เพราะกลัวว่า หากทานเพียงแต่นมข้นหวานจะมีผลต่อพัฒนาการของลูก จึงกำลังหาวิธีช่วยให้น้องเลิกทานนมข้นหวาน และกลับมาทานนมผงตามเดิม ส่วนอาหารอื่น ๆ น้องยังคงทานได้แต่เพียงโจ๊ก แต่ข้าวเป็นเม็ด ๆ ยังทานไม่ได้
อย่างไรก็ตาม คุณพ่อและคุณแม่ยังยืนยันว่า จริง ๆ แล้ว พวกเขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลืออะไรมากมายนัก ที่ปรารถนาจริง ๆ คือ ต้องการให้ลูกสาวเข้ารับการผ่าตัด เพื่อที่น้องจะสามารถลุกขึ้นมาเดินได้ แต่ก็ทราบดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย และก็รู้ดีว่า สายตาคนนอกที่มองเข้ามายังครอบครัวของเขาคงมีความคิดเห็นต่าง ๆ กัน บางคนสงสาร บางคนเห็นใจ แต่ก็ยังมีบางคนเคลือบแคลงสงสัย คิดไปในแง่ลบว่า เขาทำให้ลูกเป็นแบบนี้เพื่อเรียกคะแนนสงสาร หาเงินเข้ากระเป๋าหรือไม่ ซึ่งคุณพ่อก็บอกว่า เขาเข้าใจและคงไม่สามารถไปห้ามความคิดของใครได้
ทั้งนี้ ถึงแม้ครอบครัวทองเรืองเอ่ยปากไม่กล้าขอรับความช่วยเหลืออะไรมากนัก แต่ผู้ที่ได้รับทราบเรื่องราวของครอบครัวนี้ ต่างมองว่า อย่างไรเสีย สิ่งของเครื่องใช้และอาหารก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต เช่นนั้นแล้ว จึงได้ช่วยกันรวบรวมข้าวของเครื่องใช้จำเป็น และอาหารส่งไปช่วยเหลือครอบครัวทองเรืองอยู่ ซึ่งสิ่งของเหล่านี้ก็เปรียบเหมือนกำลังใจที่จะบอกให้คุณพ่อและคุณแม่ลุกขึ้นสู้อย่างไม่ท้อถอย เพื่อลูกสาวผู้เป็นที่รัก
และสำหรับใครที่ได้อ่านเรื่องราวข้างต้นแล้ว ประสงค์จะร่วมช่วยเหลือครอบครัวน้องเปียนโน ก็สามารถรวบรวมสิ่งของต่าง ๆ อย่างเช่น ข้าวสาร นมผง คารามายด์ ผ้าอ้อมไซส์ใหญ่ เครื่องนุ่งห่ม ที่นอน ผ้านวม แป้งเด็ก น้ำยาซักผ้าเด็ก น้ำยาปรับผ้านุ่ม ที่นอนเด็กแบบพับเก็บและซักได้ ฯลฯ ส่งไปให้น้องได้ที่ 134-136 ม.1 ต.พระพุทธบาท อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี หรือหากไม่สะดวกส่งเป็นสิ่งของ ก็สามารถร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ครอบครัวทองเรืองได้ที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ชื่อบัญชี ด.ญ.ปรายฟ้า ทองเรือง โดย นายประดิษฐ์ ทองเรือง เลขที่บัญชี 789 260 5490 หรือส่งกำลังใจไปให้ครอบครัวทองเรืองได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 080-9297548 ค่ะ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก