เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก addyjagat.com
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลิเมลของอังกฤษ เปิดเผยเรื่องราวสุดน่าเห็นใจ ของหญิงชราชาวจีนคนหนึ่ง ที่ร้องขอความช่วยเหลือดูแลลูกชายป่วยทางจิตวัย 40 ปี หลังเธอเสียชีวิต เพราะรู้ว่าเธอคงดูแลลูกชายตามลำพังได้อีกไม่นานแล้ว
โดยหญิงชราคนนี้ คือ เซียว อันหยง วัย 76 ปี จากเมืองฉงชิ่ง ที่รับภาระเลี้ยงดู ถัง จู่หัว ลูกชายที่ป่วยทางจิตขั้นรุนแรงมากว่า 23 ปี แต่ด้วยฐานะความเป็นอยู่ที่ยากจนข้นแค้น ทำให้ลูกชายเธอไม่ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีนัก ถัง จู่หัว ต้องถูกล่ามเชือกติดกับผนังในโรงเก็บของร้างแห่งหนึ่ง และไม่สามารถลุกยืนหรือเดินได้ เพราะกล้ามเนื้อถูกล็อกอยู่ในท่านั่งมานานกว่าครึ่งชีวิต ซ้ำยังต้องนอนบนพื้นแข็งเย็น เนื่องจากแม่ไม่สามารถหาฟูกหรือที่นอนนุ่ม ๆ ให้นอนได้
เซียว อันหยง ได้เปิดเผยว่า อันที่จริงแล้วเธอมีลูก 3 คน สองคนเป็นคนปกติทุกอย่าง แต่ถัง จู่หัว กลับเกิดมาป่วยทางจิต และอาการทางจิตก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อเขาอายุได้ 17 ปี อาการทางจิตเขาก็ถึงขั้นเป็นอันตรายกับคนรอบข้าง เธอจึงจำเป็นต้องล่ามเขาไว้ติดกับผนังโรงเก็บของ ซึ่งในตอนแรกเธอก็สวมเสื้อผ้าให้เขามิดชิด แต่เขาก็มักจะถอดออกทุกครั้ง เธอเลยกลัวว่าลูกชายจะใช้เสื้อผ้าในการก่อเหตุทำร้ายตัวเอง จึงตัดสินใจไม่ใส่เสื้อผ้าให้เขาเลยนับตั้งแต่นั้น ส่วนลูกอีก 2 คนที่เป็นคนปกติ ก็ไม่ได้มาเหลียวแลสนใจ และทิ้งเธอไปตั้งนานแล้ว เธอจึงต้องใช้ชีวิตอยู่แบบประทังชีวิตไปวัน ๆ และคอยดูแลลูกชายเหมือนที่เคยทำมาทั้งชีวิต ด้วยเงินเบี้ยเลี้ยงจากรัฐราว ๆ 800 บาทต่อเดือน ซึ่งแน่นอนว่า 800 บาทกับการเลี้ยง 2 ชีวิต ก็แทบจะไม่เพียงพอแล้ว แต่กระนั้นเธอก็ยังบริหารมันให้เพียงพอต่อการใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี
แต่ทว่าตอนนี้ สิ่งที่ เซียว อันหยง เป็นห่วง ไม่ใช่เรื่องเงินเบี้ยเลี้ยงที่ไม่เพียงพอ แต่เธอกังวลเหลือเกินว่า ชีวิตของเธอที่กำลังเดินทางสู่ช่วงไม้ใกล้ฝั่งนั้น จะทำให้เธอมีเรี่ยวแรงดูแลลูกชาย คอยอาบน้ำ ทำความสะอาดโรงเก็บของ คอยดูแลสุขอนามัยของลูกชายได้อย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ด้วยวัย 76 ปีที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะเสียชีวิตลง เธอกังวลเหลือเกินว่า เมื่อเธอได้จากโลกนี้ไปแล้ว ลูกชายเธอจะถูกปล่อยทิ้งโดยไม่มีใครดูแลหรือไม่ และถึงตอนนั้นเขาจะต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานเพียงใด
วันนี้ เซียว อันหยง จึงเริ่มขอความช่วยเหลือจากใครสักคน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ช่วยยื่นมือเข้ามาดูแลลูกชายของเธอด้วย เพราะเธอเพียงแค่อยากจะแน่ใจว่า ลูกชายเธอจะได้รับการดูแลอย่างที่เธออยากให้เป็นเมื่อเธอเสียชีวิตลง ไม่เช่นนั้นเธอคงนอนตายตาไม่หลับได้อย่างแน่นอน