กระเป๋าฉีกขึ้นVAT-รีดภาษีบาป (ไทยโพสต์)
รมว.คลัง สั่ง สศค.-สวค.หาทางเพิ่มรายได้รัฐ 2 หน่วยงานเห็นตรงกันให้ขึ้น VAT เป็น 10% พร้อมเร่งเก็บภาษีน้ำมันดีเซลเหมือนเดิม เสนอเก็บภาษีบาป-สิ่งแวดล้อม หวั่นปี 56 ถังแตก
แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) หารือเรื่องการปรับโครงสร้างภาษี ซึ่งทั้ง 2 หน่วยงานเสนอตรงกันว่า ให้มีการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 10% และให้มีการปรับขึ้นภาษีน้ำมันดีเซลให้กลับมาอยู่ที่เดิมให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้การเก็บรายได้ของรัฐบาลมีปัญหา
นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้เก็บภาษีบาป สุรา เบียร์ บุหรี่ ของกรมสรรพสามิตเพิ่มขึ้น รวมถึงเก็บภาษีตัวใหม่ เช่น ภาษีสิ่งแวดล้อม เป็นต้น เพราะในปีงบประมาณ 2556 รัฐบาลจะมีปัญหาเรื่องรายได้อย่างมาก เนื่องจากมาตรการต่างๆ ที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้จะออกผลกระทบเต็มที่ ทำให้รายได้หายไปจำนวนมาก ทั้งการลดภาษีนิติบุคคล, การคืนภาษีบ้านหลังแรก, การคืนเงินรถคันแรก เป็นต้น
นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า จากประมาณการรายได้รวมของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2555 ที่ตั้งไว้ 1.98 ล้านล้านบาทนั้น กรมสรรพากรได้รับมอบหมายให้จัดเก็บรายได้ที่ 1.624 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากปีงบประมาณ 2554 ทั้งนี้ ได้คำนวณความสูญเสียจากกรณีลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23% และผลกระทบจากมาตรการบ้านหลังแรกแล้ว
ทั้งนี้ กรมได้วางแผนการดำเนินงานเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีการปรับปรุงระบบการจัดเก็บให้มีเครือข่ายครอบคลุมมากขึ้น มีการดึงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเพื่ออำนวยความสะดวก ซึ่งในส่วนนี้ หากมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น จะช่วยทำให้เกิดการขยายฐานผู้เสียภาษีโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยทดแทนการสูญเสียรายได้ดังกล่าวเป็นอย่างดี
"ตอนนี้กรมยืนยันว่ายังไม่มีแผนที่จะปรับขึ้นภาษีตัวใดๆ แม้ว่ากรมจะมีการสูญเสียรายได้จากนโยบายของรัฐบาลก็ตาม เพราะเรามองว่าการปรับขึ้นภาษีตัวอื่นๆ เพื่อมาชดเชยรายได้ที่เสียไปเป็นวิธีการที่ง่ายเกินไป แต่ถ้าเรามาปรับกระบวนการทำงานของเราให้มีประสิทธิภาพ จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของกรม อย่างถาวรและยืนยาวมากกว่า" นายสาธิต กล่าว
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมได้รับมอบหมายให้จัดเก็บรายได้ปีงบประมาณ 2555 ที่ 4.04 แสนล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2554 ที่คาดว่าจะจัดเก็บรายได้ประมาณ 3.9 แสนล้านบาท อย่างไรก็ดี เป้าหมายดังกล่าวยังเป็นตัวเลขเบื้องต้น เพราะยังมีปัจจัยสำคัญเรื่องการลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ที่ขยายเวลาเพิ่มอีก 3 เดือน และมีแนวโน้มอาจขยายเพิ่มต่ออีก
"การขยายเวลาเพิ่ม 3 เดือน จะทำให้กรมสูญเสียรายได้ประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 9,000 ล้านบาท รวมถึงการปรับโครงสร้างพลังงานอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวเนื่องกับกรมสรรพสามิตอีก ส่วนว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมายเบื้องต้นหรือไม่นั้น คงต้องรอดูความชัดเจนเรื่องภาษีน้ำมันดีเซลและอื่นๆ ประกอบด้วย” นายพงษ์ภาณุ กล่าว
แหล่งข่าวจากกรมสรรพสามิตกล่าวว่า ก่อนสิ้นปี 2554 นี้ กรมสรรพสามิตมีแผนที่จะเสนอให้กระทรวงคลังพิจารณาแนวทางการปรับโครงสร้าง ภาษีสรรพสามิตหลายรายการ ทั้งภาษีสุรา ภาษียาสูบ ภาษีเบียร์ ภาษีไวน์ และภาษีรถยนต์ เพื่อมาชดเชยรายได้ในส่วนที่สูญหายไปจากการขยายเวลาการลดการจัดเก็บภาษีสรรพ สามิตน้ำมันดีเซล ออกไปอีก 3 เดือน
นายยุทธนา หยิมการุณ รองอธิบดีกรมศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2555 กรมได้รับมอบหมายให้จัดเก็บรายได้ที่ 1.05 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าสามารถทำได้
ด้านแหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2555 รัฐวิสาหกิจได้รับมอบหมายให้นำส่งรายได้ประมาณ 1.04 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่ามีการนำส่งได้ 9.7 หมื่นล้านบาท โดยส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของแต่ละรัฐวิสาหกิจ ให้มีความเข้มข้นขึ้น มั่นใจว่าปี 2555 รัฐวิสาหกิจทุกแห่งยังมีความสามารถนำส่งรายได้ตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ ได้อย่างแน่นอน
ด้านนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. โฆษกรัฐบาลเงาพรรคประชาธิปัตย์ แถลงย้ำถึงนโยบายบ้านหลังแรกของรัฐบาลว่า ไม่ได้ช่วยคนจน พร้อมกับแนะนำให้รัฐบาลกลับไปใช้วิธีการที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เคยช่วย เหลือพี่น้องคนจนด้วยการออกนโยบายให้สินเชื่อปลอดดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 2 ปี กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พร้อมฟรีค่าธรรมเนียมในวงเงิน 25,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง เพราะมีประชาชนมาใช้โครงการนี้จำนวนมากจนเต็มวงเงิน โดยรัฐบาลในขณะนั้นได้ตั้งวงเงินชดเชยดอกเบี้ยให้ ธอส.จำนวน 500 ล้านบาท และเท่าที่ได้สอบถามจาก ธอส. พบว่าหากรัฐบาลจะใช้โครงการนี้ มีความพร้อมที่จะเดินหน้าต่อด้วยการขยายวงเงินอีก 25,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือคนจนอย่างแท้จริง เพราะผู้ที่จะซื้อบ้านมือสองหรือปลูกบ้านใหม่บนที่ดินของตัวเองก็จะได้รับ ประโยชน์ด้วย ไม่ใช่ว่าต้องมีเงินเดือน 3 หมื่นบาทขึ้นไปจึงจะได้รับประโยชน์ ซึ่งโครงการของรัฐบาลนี้คนรากหญ้าไม่มีใครได้ประโยชน์เลย
"ผมหวังว่าในการประชุม ครม.สัปดาห์นี้รัฐบาลจะทบทวน เพราะที่ผ่านมารัฐบาลคำนวณสูตรผิดพลาด เดินหน้าต่อไปโครงการนี้ก็แท้ง ดังนั้นเพื่อให้รัฐบาลกำหนดนโยบายที่เกิดประโยชน์ต่อคนจนอย่างแท้จริง ก็ควรเปลี่ยนวิธีการให้สินเชื่อปลอดดอกเบี้ยกับประชาชนเหมือนที่รัฐบาลประชา ธิปัตย์เคยทำจะดีกว่า หรือถ้าคิดจะเกทับด้วยการกำหนดให้ปลอดดอกเบี้ย 5 ปี เราก็ไม่ขัดข้อง เพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์ แต่ก็ต้องดูตามความเป็นจริงด้วย เพราะหากทำเช่นนั้นสถาบันการเงินต้องรับภาระหนัก อีกทั้งรัฐบาลก็ต้องเพิ่มเงินชดเชยโดยใช้งบประมาณแผ่นดินไปจ่ายค่าดอกเบี้ย ให้ธนาคารประมาณพันกว่าล้านบาท” นายอรรถวิชช์ กล่าว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก