เมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์อินเตอร์เนชั่นแนล บิสซิเนส ไทม์ รายงานผลวิจัยจากมหาวิทยาลัย เวสทเทริ์นอิลลินอยส์ ที่ค้นพบว่า จำนวนเพื่อนในเฟซบุ๊กเกี่ยวข้องกันโดยตรงกับความหลงตัวเอง
ทั้งนี้ จากการศึกษาที่ใช้การวัดพฤติกรรมนำเสนอตัวเอง และพฤติกรรมต่อต้านสังคม จากจำนวนผู้เข้าร่วมวิจัยกว่า 292 คน อายุตั้งแต่ 18-65 ปี ซึ่งการนำเสนอตัวเองบนเฟซบุ๊กนั้น มีทั้งการโพสต์สเตตัส อัพโหลดรูป ส่วนพฤติกรรมต่อต้านสังคมนั้น มีความรู้สึกโกรธ หากไม่มีใครมากดไลค์ที่สเตตัสของตน ซึ่งคนที่ได้คะแนนมาก ๆ ย่อมบ่งชี้ถึงความหลงตัวเองมากเช่นกัน
จากการศึกษา พบว่า คนที่ได้คะแนนมาก มักจะมีเพื่อนในเฟซบุ๊กเยอะ และโพสต์สเตตัสของตนอยู่บ่อยครั้ง จนทำให้สรุปได้ว่า วัยรุ่นสมัยนี้เริ่มมีความหลงตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ หมกมุ่นอยู่กับภาพลักษณ์ของตนและความสัมพันธ์ที่ไม่ยั่งยืน
ด้านศาสตราจารย์คริสโตเฟอร์ คาร์เพนเตอร์ ผู้ศึกษางานวิจัยชิ้นนี้ กล่าวว่า เฟซบุ๊กเป็นประตูที่เปิดสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่ยั่งยืนและนำไปสู่การปลีกตัวออกมาจากสังคม ซึ่งผู้คนในเฟซบุ๊ก ได้นำเสนอตัวเองด้วยการเปลี่ยนรูปโปรไฟล์และแสดงจำนวนเพื่อนว่ามีมากแค่ไหน บางคนมีเพื่อนเป็นพันคนเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์คาร์เพนเตอร์ ยังได้ตอกย้ำถึงข้อสงสัยที่ว่า เว็บไซต์ประเภทสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ ทำให้ผู้ใช้มีแต่ความสัมพันธ์ที่ไม่ยั่งยืนและทำร้ายวัยรุ่นเข้าไปทุกขณะ โดยเขากล่าวว่า ควรมีงานวิจัยเกี่ยวกับด้านมืดของเฟซบุ๊กมากขึ้น เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับผลที่ได้รับจากเฟซบุ๊ก ทั้งที่เป็นข้อดีและข้อเสีย รวมทั้งยังแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วและป้องกันปัญหาที่จะตามมา
"เฟซบุ๊กเป็นที่ที่ผู้คนจะเรียกคืนความมั่นใจและแสวงหาการสนับสนุนจากสังคม ดังนั้น มันจึงจำเป็นมากที่จะต้องค้นหาข้อเสีย ที่มีสิทธิเกิดขึ้นได้ซึ่งใครซักคนอาจจะประสบพบเจอในสังคมออนไลน์แห่งนี้ และคนส่วนมากก็หมกมุ่นอยู่กับเฟซบุ๊คเสียด้วย" ศาสตราจารย์คาร์เพนเตอร์ กล่าว
