ตอน 3 : “ปิโตรเคมี” อนาคตที่ยังก้าวไปพร้อมกับวิถีชีวิตคนไทย

ตอน 3 :  “ปิโตรเคมี” อนาคตที่ยังก้าวไปพร้อมกับวิถีชีวิตคนไทย


        


                  ปัจจุบัน “อุตสาหกรรมปิโตรเคมี”กำลังเป็นส่วนหนึ่งของวาทะกรรมในการนำมาโต้เถียงบนเวทีปฏิรูปพลังงานถึงความเหมาะสมในการจัดสรร“แอลพีจี” ที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยเพื่อนำมาป้อนเป็นวัตถุดิบ  แต่หากคนไทยเปิดใจมองย้อนอดีตกลับไปจนถึงปัจจุบัน คุณคงไม่อาจปฏิเสธว่าอุตสาหกรรมนี้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ในการดำรงชีวิตของคุณไปแล้วแบบไม่รู้ตัว และยังมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทย

 





                 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีอยู่รอบตัวเรา ตั้งแต่ตื่นเช้า จนกระทั่งเข้านอน เพราะสิ่งของเครื่องใช้ที่เราดำรงชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ แปรงสีฟัน เครื่องสำอาง เสื้อผ้า ถ้วยชามพลาสติก คอมพิวเตอร์ มือถือ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนมีองค์ประกอบและผลิตจากปิโตรเคมีทั้งสิ้น ครั้งแรกคนไทยได้รู้จักอุตสาหกรรมนี้ด้วยการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกจากต่างประเทศซึ่งตอนนั้นพลาสติกถือเป็นของใหม่ ใครได้ใช้นับเป็นคนที่ทันสมัย


                พลาสติกเข้ามาสู่ชีวิตคนไทยอย่างรวดเร็วเพราะใช้ได้สะดวกกว่าเครื่องใช้ไม้สอยแบบเดิมที่ส่วนใหญ่ทำจากวัสดุธรรมชาติ ความนิยมพลาสติกทำให้เกิดการตั้งโรงงานพลาสติก ทั้งโรงอัด  โรงเป่า โรงฉีด จนถึงการผลิตเองแบบง่ายๆใช้ในครัวเรือน เช่น ถุง ถัง กะละมัง ถ้วยชาม ตะเกียบ ฯลฯ การใช้พลาสติกมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วทำให้การนำเข้าเม็ดพลาสติกสูงขึ้นตามไปด้วย

 

                กระทั่งเกิดวิกฤติการณ์น้ำมันโลก 2 ครั้ง โดยครั้งแรก ปี พ.ศ. 2516 และครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2522 ซึ่งทั้งสองครั้งมีผลให้ราคาน้ำมันแพง และบางช่วงเกิดการขาดแคลน กระทบไปถึงเม็ดพลาสติกทั่วโลก ทำให้มีราคาสูงขึ้นอย่างมากและมีการขาดแคลนในบางช่วงเช่นเดียวกัน ด้วยสาเหตุดังกล่าวจึงเป็นที่มาให้รัฐบาลขณะนั้นได้ตระหนักถึงความสำคัญที่จะต้องมีโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกในไทย

 

                  การพัฒนาดังกล่าวคงจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไทยไม่ได้ค้นพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่มีคุณสมบัติพิเศษเป็นชนิดเปียก (Wet Gas) ที่มีองค์ประกอบสารไฮโดรคาร์บอนที่จะนำมาผลิตปิโตรเคมีได้ ซึ่งรัฐบาลสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงได้กำหนดเป้าหมายที่จะใช้ก๊าซฯให้เกิดประโยชน์สูงสุดและต้องการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กัน จึงได้พัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกหรืออีสเทิร์นซีบอร์ดขึ้นด้วยการนำอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมาขับเคลื่อนการจ้างงานและรายได้

 

               ด้วยนโยบายดังกล่าวโรงแยกก๊าซธรรมชาติแห่งแรกซึ่งลงทุนโดยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือ บมจ.ปตท. ปัจจุบัน จึงถือกำเนิดขึ้นในปลายปี 2528  พร้อมกันนี้ ปตท. ได้เป็นแกนนำในการตั้ง บริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด (NPC)เพื่อดำเนินโครงการโรงโอเลฟินส์  ผลิตเอทิลีน และโพรพิลีน ที่มาบตาพุด     จ.ระยอง ซึ่งใช้วัตถุดิบจากโรงแยกก๊าซฯ และนี่คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาปิโตรเคมีต้นน้ำหรือเป็นอุตสาหกรรมปิโตรเคมีระยะแรก จนปัจจุบันก้าวสู่การพัฒนาระยะที่ 3 (ปี 2547-2561)

 

                กว่า 20 ปีอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้เติบโตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ และมีบทบาทก่อให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากมายตามมาไม่ว่าจะเป็น บรรจุภัณฑ์  อุปกรณ์ ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์  ชิ้นส่วนยานยนต์ เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ ซึ่งถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากก๊าซธรรมชาติ 8-40 เท่า    นอกจากนี้ยังช่วยทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบปิโตรเคมีและสร้างรายได้จากการส่งออกรวมปัจจุบันไม่น้อยกว่า 7-8 แสนล้านบาทต่อปี ก่อให้เกิดการจ้างงานในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง 2-3 แสนคน เป็นต้น

 

                อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังก่อให้เกิดโรงงานปิโตรเคมีจนถึงขึ้นรูปพลาสติกกว่า 3,000 แห่งและยังไม่รวมโรงงานที่ต่อเนื่องกับพลาสติกอีกจำนวนนับหมื่นแห่ง ทำให้วันนี้ภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศมีความเข้มแข็งสามารถก้าวสู่เวทีตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีล่าสุดกระแสโลกมีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นทำให้อุตสาหกรรมพลาสติกจากปิโตรเคมีถูกพัฒนาให้ก้าวสู่ “อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ” (Bioplastic)

 

ความต้องการพลาสติกชีวภาพในตลาดโลกเริ่มมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นเนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยพลาสติกชีวภาพผลิตจากวัสดุจากธรรมชาติ เช่น น้ำตาล ข้าวโพด มันสำปะหลัง เป็นต้น ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีการปลูกกันมาก พลาสติกชีวภาพนั้น สามารถย่อยสลายได้โดยธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

              การพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพใหม่ๆ ยังเกิดขึ้นอีกมากมายโดยเฉพาะพลาสติกที่ต้องการความคงทนสูง เช่น อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกชีวภาพเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกที่ใช้ตกแต่งภายในตัวรถ เป็นต้น  ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกดังกล่าว ทำให้สถาบันพลาสติก กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายที่จะสนับสนุนและส่งเสริมให้อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ เป็นคลื่นลูกใหม่สร้างประเทศไทยให้เป็น  "ไบโอพลาสติกฮับ" ของภูมิภาค

 

                 ดังนั้นอนาคตพลาสติกที่ผลิตจากปิโตรเลียมที่นับวันจะหมดลงไปจากโลกจะค่อยๆ ถูกทดแทนจากพลาสติกชีวภาพที่วัตถุดิบสามารถปลูกขึ้นใหม่ทดแทนได้และยังรักษาสิ่งแวดล้อมซึ่งจะส่งผลให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทยไม่อาจหยุดนิ่งในการพัฒนาได้เช่นกันด้วยเพราะอุตสาหกรรมนี้ยังคงต้องรับใช้วิถีชีวิตคนไทยและยังมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆนำมาซึ่งการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจให้เติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน

            

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ตอน 3 : “ปิโตรเคมี” อนาคตที่ยังก้าวไปพร้อมกับวิถีชีวิตคนไทย โพสต์เมื่อ 13 ตุลาคม 2557 เวลา 10:51:03 3,087 อ่าน
TOP
x close