
จำคุก ฉัฐวัสส์ มุตตามระ 155 ปี คดียักยอกทรัพย์แบงก์บีบีซี
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยพีบีเอส
ศาลสั่งจำคุก 155 ปี ฉัฐวัสส์ มุตตามระ อดีตนักการเมืองกลุ่ม 16 สนับสนุน เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ ยักยอกทรัพย์แบงก์บีบีซีกว่า 1,014 ล้านบาท พร้อมปรับเงิน 31 ล้าน แต่ให้จำคุกได้สูงสุด 20 ปีตามกฎหมาย ส่วนจำเลยที่เหลือให้ยกฟ้อง หลังมีหลักฐานไม่เพียงพอ
วันที่ 1 ธันวาคม 2557 ศาลอาญารัชดาอ่านคำพิพากษาในคดีที่นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ หรือบีบีซี ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว กับพวก เป็นจำเลยที่ 1-8 ประกอบด้วย
นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ หรือบีบีซี (เสียชีวิต)
นายเอกชัย อธิคมนันทะ อายุ 65 ปี อดีตผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บีบีซี
นายวันชัย ธรรมธิติวัฒน์ อายุ 55 ปี อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารเงินและวิเทศทนกิจ และอดีตผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บีบีซี
นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ อายุ 67 ปี อดีตกรรมการบริษัท สยาม แมสคอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทขอกู้สินเชื่อกับบีบีซี
นายมาโนช เชาวรัตน์ อายุ 56 ปี อดีตกรรมการบริษัท สยามแมสฯ
นายฉัฐวัสส์ หรือวีรพล มุตตามระ อายุ 58 ปี ผู้ก่อตั้งบริษัท สยามแมสฯ และอดีตนักการเมืองกลุ่ม 16, บริษัท อเมริกันแสตนดาร์ด แอ๊พเพรซัล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทรับจ้างประเมินราคาทรัพย์สิน
นายไพโรจน์ ซึ่งศิลป์ อายุ 64 ปี อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัทอเมริกันแสตนดาร์ด (ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร)
เป็นจำเลยในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ และความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ จากกรณีเมื่อปี 2537-2538 นายเกริกเกียรติกับพวกร่วมกันอนุมัติวงเงินสินเชื่อให้กับบริษัท สยาม แอส คอนสตรัคชั่น จำกัด ในวงเงินเกิน 30 ล้านบาท
โดยโจทก์ฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 26 มกราคม - 1 มิถุนายน 2537 เวลากลางวัน พวกจำเลยได้ร่วมกันวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำในการทำหนังสือของบีบีซี ถึงบริษัท สยามแมสฯ เสนอรับเป็นที่ปรึกษาในการซื้อหุ้นที่จะครอบงำกิจการด้านประกันภัย ต่อมาจำเลยที่ 4-8 ร่วมกันขอสินเชื่อจากบีบีซี 570 ล้านบาท เพื่อนำเงินดังกล่าวไปซื้อหุ้นครอบงำกิจการบริษัทประกันภัย
ต่อมาพวกจำเลยได้เสนอหุ้นจำนวน 6 ล้านหุ้นพร้อมที่ดิน อ.แม่จัน จ.เชียงราย จำนวน 51 แปลง อ้างราคาประเมินที่ดิน 405,900,000 บาท เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ และเมื่อวันที่ 3 มีนาคม - 30 พฤศจิกายน 2538 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บีบีซี ยังได้ทำการอนุมัติสินเชื่อเบิกเกินบัญชีให้กับจำเลยที่ 4-6 จำนวน 655,649,408.07 บาท โดยไม่นำเสนอคณะกรรมกรรสินเชื่อของบีบีซีพิจารณากลั่นกรองก่อน อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ขณะที่รวมมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 1,014,894,086.49 บาท ซึ่งบีบีซีได้รับเงินบางส่วนคืนแล้ว คงเหลืออีกจำนวน 732,982,485.15 บาท จึงขอให้พวกจำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวคืนแก่บีบีซีด้วย
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าบริษัท สยามแมสฯ มีทุนจดทะเบียนเพียง 1,000,000 บาท และมีภาวะหนี้สินเป็นธุรกิจที่ไม่อาจสร้างรายได้ในขณะนั้น แต่นายเกริกเกียรติกลับอนุมัติสินเชื่อวงเงินเกิน 30 ล้านบาท โดยไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการสินเชื่อหรือคณะกรรมการบริหาร บีบีซี ดังนั้นการกระทำของนายเกริกเกียรติมีความผิดจริงตามฟ้อง เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องโดยไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่เนื่องจากนายเกริกเกียรติเสียชีวิตแล้ว สิทธิฟ้องจึงระงับไป
ขณะที่จำเลยที่ 2-3 พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนัก จึงลงโทษจำเลยทั้งสองไม่ได้ ส่วนจำเลยที่ 4-6 ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด จำเลยที่ 6 เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท สยามแมสฯ ได้ขอร้องจำเลยที่ 4-5 มาเป็นกรรมการบริษัท สยามแมสฯ แทนชั่วคราว ซึ่งพยานโจทก์เบิกความว่าไม่เคยเห็นจำเลยที่ 4-5 มาติดต่อธุระที่บีบีซี นอกจากนี้จำเลยที่ 6 ยังเคยทำบันทึกข้อเท็จจริงถึงบีบีซีและโจทก์ร่วม ขณะที่ยังถูกทวงถามการชำระหนี้ด้วย จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 4-5 เป็นกรรมการบริษัท สยามแมสฯ แทนชั่วคราวโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
ต่อมาจำเลยที่ 4-5 ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการ พยานโจทก์จึงยังมีข้อสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 4-5 มีความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลย
สำหรับจำเลยที่ 6 แม้จะไม่ได้เป็นผู้อนุมัติสินเชื่อ แต่พฤติการณ์ของจำเลยและคำเบิกความของพยานโจทก์สนับสนุนว่า จำเลยที่ 6 เป็นผู้ขอสินเชื่อและได้มีการโอนเงินของโจทก์ร่วมเข้าบัญชีของจำเลยที่ 6 จำนวนหลายครั้ง นอกจากนี้จำเลยที่ 6 ก็ไม่ได้พยานเข้าสืบหักล้างว่าเงินดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไรและนำมาเข้าในบัญชีของตนเองได้อย่างไรจึงมีข้อพิรุธ ประกอบกับพยานหลักฐานที่มีรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 6 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิด ทำให้โจทก์ร่วมเกิดความเสียหายกว่า 732 ล้านบาท
ในส่วนของจำเลยที่ 7-8 นั้น พนักงานสอบสวนไม่ได้ดำเนินคดี เนื่องจากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ประเมินราคาที่ดินโดยสูงกว่าความเป็นจริงเท่านั้น แต่ไม่มีเงินโอนเข้ามาในบัญชีของจำเลยทั้งสอง และไม่พบพยานหลักฐานว่าจำเลยทั้งสองได้ค่าตอบแทนอย่างไรบ้าง จึงเชื่อได้ว่า จำเลยที่ 7-8 ไม่รู้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 6 ที่นำหลักทรัพย์ไปใช้ขอสินเชื่อ และยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองมีส่วนในการสนับสนุนการกระทำผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และ 6
ขณะที่จำเลยที่ 6 หรือ นายฉัฐวัสส์ มุตตามระ อายุ 58 ปี เจ้าของบริษัท สยาม คอนสตรัคชั่น จำกัด และเป็นผู้ขอสินเชื่อ ศาลพิพากษาจำคุกกระทงละ 5 ปี ปรับกระทงละ 1,000,000 บาท รวมทั้งสิน 31 กระทง รวมโทษจำคุกเป็นเวลา 155 ปี และปรับ 31 ล้านบาท แต่ตามกฎหมายให้จำคุกสูงสุดไม่เกิน 20 ปี รวมถึงใช้เงินคืนแก่โจทก์กว่า 732 ล้านบาท พร้อมกันนี้ มีคำสั่งยกฟ้องจำเลยที่ 2, 3, 4, 5, 7 และ 8 เนื่องจากมีหลักฐานไม่เพียงพอ แต่ให้ขังจำเลยที่ 4-5 ไว้ระหว่างอุทธรณ์
อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า จำเลยที่ 2, 4, 5 และ 8 ได้เดินทางมาศาลพร้อมกับทนายความ ขณะที่จำเลยที่ 3 ได้ส่งทนายความขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไปก่อน เนื่องจากมีอาการป่วย จึงไม่สามารถเดินทางมาฟังคำพิพากษาได้ ส่วนนายเกริกเกียรติ จำเลยที่ 1 เสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2555 ด้วยโรคมะเร็งในปอด จึงจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ขณะที่นายฉัฐวัสส์ มุตตามระ จำเลยที่ 6 ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา ศาลจึงได้ออกหมายจับ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก







