เปิดเส้นทางการยักยอกเงิน สจล. 1,600 ล้าน คาดทำเป็นขบวนการ


เปิดเส้นทางการยักยอกเงิน สจล. 1,600 ล้าน
เปิดเส้นทางการยักยอกเงิน สจล. 1,600 ล้าน

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เรื่องเล่าเช้านี้ บีอีซี-เทโร

            เส้นทางการยักยอกเงิน 1,663 ล้านบาท สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง คาดทำกันเป็นขบวนการ ด้านผู้จัดการธนาคารยันไม่เกี่ยวข้อง

            เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2557 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท. ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รรท.ผบช.ก. พร้อมเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงผลการจับกุม นายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 40 ปี ผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์ และ น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อายุ 56 ปี ผู้อำนวยการส่วนการคลัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ในข้อหาปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม และร่วมกันลักทรัพย์

            โดยการจับกุมในครั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ตัวแทนจาก สจล. ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.1.บก.ป. ให้ดำเนินคดีกับ นายทรงกรด และ น.ส.อำพร จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ซึ่งขณะนั้น น.ส.อำพร ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการคลังของ สจล. และได้ทำเรื่องถอนอนุมัติเงินของ สจล. ที่ฝากไว้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จำนวน 50 ล้านบาท และเงินของ สจล. ที่ฝากไว้กับธนาคารกรุงไทย สาขานิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง อีกจำนวน 30 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 80 ล้านบาท เพื่อนำไปฝากที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซี ศรีนครินทร์ ซึ่งมี นายทรงกรด เป็นผู้จัดการสาขาอยู่

            ต่อมา นายเผ่าภัค ศิริสุข รักษาราชการแทนอธิการบดี สจล. พบข้อพิรุธเกี่ยวกับเงินกองกลางของ สจล. จึงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบบัญชีธนาคารตามที่มีการกล่าวอ้างว่าได้นำเงินเข้าบัญชีธนาคารนั้น ๆ กระทั่งพบว่าไม่มีการนำเงินเข้าบัญชีธนาคารแต่อย่างใด ส่วนรายการยอดเงินในบัญชีเป็นเพียงรายการปลอมที่ทำขึ้นเพื่อหลอกลวงว่าเงินยังมีอยู่ในบัญชีธนาคารเท่านั้น ทาง สจล. จึงดำเนินการตรวจสอบเงินกองกลางที่ฝากไว้ในบัญชีธนาคารต่าง ๆ ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2555 ถึงปัจจุบัน พบว่ามีเงินอีกจำนวน 1,583 ล้านบาทได้หายไป รวมแล้วเป็นจำนวน 1,663 ล้านบาท จากนั้นทางพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. จึงได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนทำการอนุมัติขอหมายจับผู้ต้องหาทั้งสอง กระทั่งเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม จึงสามารถจับกุม นายทรงกรด และ น.ส. อำพร ได้

            พ.ต.อ. อัครเดช เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบแคชเชียร์เช็ค พบว่ามีการนำเงินเข้าไปฝากในบัญชีของ นายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า นายพูลศักดิ์ เป็นใคร และมีความเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงไหน อย่างไรก็ตามคดีนี้เชื่อว่าน่าจะมีผู้ร่วมขบวนการอีกหลายคน ซึ่งได้ประสานไปยังสำนักงาน ปปง. เพื่อมาร่วมทำการตรวจสอบบัญชีแล้ว รวมทั้งตรวจสอบความเคลื่อนไหวของเส้นทางเงิน ซึ่งหากพยานหลักฐานไปถึงตัวผู้ใดก็จะนำตัวมาดำเนินคดีทันที

            ขณะที่ นายทรงกลด ในเบื้องต้นยังให้การภาคเสธ โดยยอมรับว่ารู้จักกับ น.ส.อำพร ในฐานะพนักงานธนาคารกับลูกค้า ที่รู้จักกันมานานร่วม 10 ปีจนมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ในการทำธุรกรรมการเงินทุกครั้งจะเดินทางไปพบกับ น.ส.อำพร เพื่อรับเอกสารการเบิกถอน หรือโอนเงิน ซึ่งที่ผ่านมาในการทำธุรกรรม น.ส.อำพร จะมอบเอกสารที่มีลายเซ็นการมอบอำนาจครบถ้วน ประกอบกับ น.ส.อำพร เป็นข้าราชการระดับสูง และเป็นหน่วยงานน่าเชื่อถืออย่าง สจล. จึงไม่คิดว่าจะเกิดการทุจริต และได้ดำเนินการให้ทุกครั้งด้วยความเชื่อใจ นายทรงกลด ยังกล่าวด้วยว่า ขณะนี้ตนเป็นเพียงอดีตผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซีศรีนครินทร์ เพราะออกจากงานมาได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว

            ทั้งนี้มีรายงานข่าวฝ่ายสืบสวน เผยว่า จากการสอบสวนเส้นทางการเงินในบัญชี เบื้องต้นพบว่าเงินจำนวน 1,663 ล้านบาท มีการยักย้ายถ่ายโอนไปบัญชีบุคคลที่สามหลายบัญชี ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีการผู้รู้เห็นหรือผู้ร่วมขบวนการมากกว่า 2-3 ราย รวมทั้งตัวของ นายพูลศักดิ์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อนำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีต่อไป

            ส่วนความคืบหน้าล่าสุดในวันนี้ (24 ธันวาคม) พ.ต.อ. อัคราเดช ได้กล่าวว่า จากการสอบปากคำ นายทรงกรด ศรีประสงค์ ผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซีศรีนครินทร์ ผู้ต้องหาได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ โดยมีการระบุถึงผู้เกี่ยวข้องในคดีดังกล่าว 4 ราย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการยักยอกโอนเงินเข้าบัญชีทั้ง 4 บัญชี โดย 1 ใน 4 เป็นบัญชีของ นายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ ซึ่งล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้ประสานสมาคมธนาคารเพื่ออายัดบัญชีและตรวจธุรกรรมทางการเงิน ทั้ง 4 บัญชี ซึ่งหากพบว่าบุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชี มีส่วนรู้เห็นก็จะออกหมายจับทันที

            ทั้งนี้ได้ประสานไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ให้ช่วยตรวจสอบเส้นทางการเงิน โดยเบื้องต้นยังไม่พบการกระทำผิดที่เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.การฟอกเงินแต่อย่างใด

            ส่วนการดำเนินคดีกับ นางอำพร น้อยสัมฤทธิ์ ซึ่งขณะนี้เข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ย่านบางนา และแพทย์ระบุว่า อาการยังไม่ดีขึ้น จึงยังไม่สามารถควบคุมตัวได้ แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ประสานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขออายัดมารักษาต่อที่โรงพยาบาลตำรวจแล้ว






อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก




เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เปิดเส้นทางการยักยอกเงิน สจล. 1,600 ล้าน คาดทำเป็นขบวนการ อัปเดตล่าสุด 6 มกราคม 2558 เวลา 13:35:10 53,927 อ่าน
TOP
x close