
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สำนักข่าวอิศรา
คตง. ทำหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี รมว. คลัง และอธิบดีกรมสรรพากร จี้สรรพากรประเมินภาษีนักการเมืองและข้าราชการที่ร่ำรวยผิดปกติ ให้เวลากรมสรรพากร 1 ปี ดำเนินการจัดเก็บภาษีให้ถูกต้อง
วันนี้ (8 มกราคม 2558) นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำหนังสือถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลัง และ นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร โดยใช้อำนาจตามมาตรา 49 แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อประเมินภาษีนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงที่พบว่าร่ำรวยผิดปกติ นอกเหนือจากรายได้ที่แสดงเสียภาษี
โดย สตง. ได้นำรายงานบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาตรวจสอบยืนยันกับแบบแสดงรายการของผู้เสียภาษี ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90-91 ซึ่งหากตรวจพบรายการใดยังไม่ได้เสียภาษี ก็ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 49 ประเมินและจัดเก็บภาษีเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน
ทั้งนี้ยืนยันว่ากรมสรรพากรสามารถใช้อำนาจตามมาตรา 49 แห่งประมวลรัษฎากร ในการเรียกเก็บจากทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น เช่นสมมตินักการเมืองมีรายได้เพิ่ม 100 ล้านบาท คิดเป็นเงินเดือน 2 ล้านบาท ส่วนที่เพิ่มอีก 98 ล้านบาท นักการเมืองจะไม่ยื่นแต่จะแปลงเงินเป็นทรัพย์สิน เช่น รถยนต์ ที่ดิน เงิน ทอง เพชร พลอย แต่หากสรรพากรจัดเก็บในส่วนดังกล่าวได้ นอกจากจะเป็นการเพิ่มรายได้และยังเป็นการปราบปรามคอร์รัปชั่นอีกด้วย
โดย สตง. จะให้เวลากรมสรรพากร 1 ปี ดำเนินการจัดเก็บภาษีให้ถูกต้อง ซึ่งหาก รมว.คลังและอธิบดีกรมสรรพากรไม่ปฏิบัติตามนโยบาย คตง. ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 ถือว่ามีความผิดทางวินัย รวมทั้ง สตง. จะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 157 ฐานปฏิบัติหรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบด้วย
นายชัยสิทธิ์ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ต้องให้ รมว. คลังและอธิบดีกรมสรรพากร ใช้อำนาจตามมาตรา 49 แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากต้องการเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในยุค คสช.และรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง เพราะเมื่อมาตรการชุดนี้บังคับใช้หลังเลือกตั้งได้รัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนฯ แล้ว คงไม่มีอธิบดีกรมสรรพากรคนไหนกล้าเก็บภาษีนักการเมือง แต่หากทำได้ก่อนเลือกตั้ง นอกจากจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มแล้ว ยังช่วยสกัดกั้นไม่ให้นักการเมืองและข้าราชการที่คอร์รัปชันเข้ามาลงเลือกตั้งได้
ที่ผ่านมาการใช้อำนาจตามมาตรา 49 แห่งประมวลรัษฎากร เกิดขึ้นสมัยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ยึดอำนาจการปกครองจาก พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ ได้ดำเนินการยึดทรัพย์นักการเมืองหลายท่าน แม้ศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นการยึดอายัดทรัพย์สินไม่ถูกต้อง แต่รัฐบาลขณะนั้นได้ให้กรมสรรพากรดำเนินการจัดเก็บภาษี ปรากฏว่ามีนักการเมืองหลายคนยอมจ่ายภาษีให้สรรพากรแต่ไม่เป็นข่าว อย่างเช่น ที่จังหวัดสุพรรณเสียภาษีให้กรมสรรพากรเกือบ 1,000 ล้านบาท
ขณะที่ สมัย พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ทำการรัฐประหาร ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำความผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ทำการยึดทรัพย์นักการเมือง แต่กรมสรรพากรไม่ใช้อำนาจตามมาตรา 49 เก็บภาษีนักการเมือง และเมื่อถึงสมัย คสช. ก็ยังไม่ใช้อำนาจตามมาตรา 49 จัดเก็บภาษีกับนักการเมือง ข้าราชการ ที่ร่ำรวยผิดปกติอีก ทาง คตง. จึงต้องทำเรื่องเสนอรัฐบาลให้กระทรวงการคลังและกรมสรรพากรดำเนินการตามที่กฎหมายที่กำหนดไว้
นอกจากนี้ นายชัยสิทธิ์ ยังได้สั่งการให้ สตง. เข้าไปตรวจสอบรายได้การจัดเก็บภาษีของ 3 กรมภาษี ทั้งกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร เนื่องจากการตั้งงบประมาณแต่ละปี ต้องกู้เงินขาดดุลทุกปีหรือประมาณปีละ 250,000 ล้านบาท และนโยบายของรัฐบาลในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก หาก 3 กรมภาษีสามารถจัดเก็บรายได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ไม่จำเป็นต้องกู้เงินอีก โดยเฉพาะกรมสรรพากร ที่จัดเก็บภาษีนิติบุคคล และบุคคลธรรมดา ที่ผ่านมาเรียกเก็บแต่มนุษย์เงินเดือน แต่ยังไม่เข้าไปตรวจสอบพ่อค้า อาชีพอิสระ ที่ยังเสียภาษีน้อยมาก โดยต้องขยายฐานเก็บภาษี เพราะที่ผ่านมาเก็บภาษีไม่เป็นธรรม
ขณะที่การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของภาครัฐ ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มงวดต่อไป หากข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามระเบียบการเบิกจ่ายเงินของรัฐ ถือว่ามีความผิดทางวินัยตามมาตรา 63 โดยผู้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติให้ถูกต้องภายใน 60 วัน หากไม่ดำเนินการ สตง. จะดำเนินการทางวินัยกับผู้บังคับบัญชาและส่งให้ ป.ป.ช. ดำเนินคดีตามมาตรา 157 เช่นกัน
ส่วนข้าราชการที่ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างไม่ถูกต้อง ฝ่าผืนกฎระเบียบและมติคณะรัฐมนตรี คตง. ได้จัดตั้งคณะกรรมการวินัยทางงบประมาณและการคลังขึ้นมาทำหน้าที่พิจารณาไต่สวน หากพบว่ามีความผิดจริงจะถูกปรับเป็นเงินเท่ากับเงินเดือน 12 เดือน ถือว่ามีความผิดทางวินัยราชการ ซึ่งจะมีผลต่อความเจริญก้าวหน้าในทางราชการด้วย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก







