x close

10 เรื่องราวสุดลึกลับที่ยังเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้





            เผย 10 เรื่องอันลึกลับทั่วมุมโลก ที่ยังคงเป็นปริศนา ไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ถึงที่มามันเกิดจากสาเหตุใด

            เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558 เว็บไซต์ ลิสต์เวิร์ส ได้มีการรวบรวม 10 เรื่องอันลึกลับจากทั่วมุมโลก ซึ่ง ณ เวลานี้ ก็ยังไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้ถึงที่มา ว่ามาจากสาเหตุอะไร กระปุกดอทคอมเลยไม่พลาดหยิบยกมาฝากกันด้วย ว่าแล้วเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าเรื่องลึกลับที่ยังเป็นปริศนานั้น มีอะไรบ้าง

            1. บิ๊กฟุต ในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติป่าฝนเขตร้อนบูกิต ติมาห์ เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อกองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกมาตั้งฐานทัพบนเกาะสิงคโปร์ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งได้ไปพบสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายคนแต่ตัวปกคลุมด้วยขนสีเทา มีขนาดความสูงถึง 2 เมตร เจ้าสิ่งมีชีวิตปริศนานี้ถูกขนานนามว่า "บิ๊กฟุต" หลังจากนั้น และผ่านมาถึงในเวลานี้ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า สิ่งมีชีวิตดังกล่าวคืออะไร และมันมีจริงหรือไม่ 

            2. ทฤษฎีการระเบิดของคลื่นวิทยุ โดยนับตั้งแต่ได้ทำการสำรวจค้นหาข้อเท็จจริง เมื่อปี 2007 ทำให้เป็นที่สนใจของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้มีถึง 9 ทฤษฎี ที่ได้รับการศึกษาค้นคว้าถึงความเป็นไปได้ของการระเบิดของคลื่นวิทยุอย่างรุนแรงว่า ทฤษฎีไหน ถูกต้องที่สุด ต่อมาทางด้าน เอมิลี เปตรอฟ นักดาราศาสตร์ ชาวออสเตรเลีย สามารถตรวจจับสัญญาณเอฟอาร์บีได้ในเวลาจริง ซึ่งได้ชี้ว่าสัญญาณมาจากจุดที่ห่างไกลจากโลกถึง 5,500 ล้านปีแสง และมีการปรับแต่งเล็กน้อยให้กลายเป็นสัญญาณที่มีขั้ว แสดงให้เห็นว่ามีสนามแม่เหล็กอยู่ใกล้กับจุดที่เป็นแหล่งกำเนิดของสัญญาณวิทยุ ที่ส่งอิทธิพลต่อคลื่นวิทยุดังกล่าวโดยจัดเรียงให้ออกไปในทิศทางจำเพาะทิศทางหนึ่ง

            จากนั้น เปตรอฟ กับเพื่อนร่วมงาน ได้สร้างโปรแกรมขึ้นมาชุดหนึ่ง หวังจะใช้ตรวจสอบหาที่มาของสัญญาณวิทยุลึกลับดังกล่าวนี้ โดยทันทีที่ตรวจจับสัญญาณได้โปรแกรมจะทำงานโดยอัตโนมัติให้กล้องโทรทรรศน์จำนวน 12 กล้องหันไปในทิศทางที่มาของสัญญาณพร้อม ๆ กัน โดยหวังจะสามารถพบร่องรอยที่อาจบ่งบอกถึงที่มาของสัญญาณวิทยุประหลาดนี้ให้ได้แต่ก็ล้มเหลว อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีการค้นคว้าต่อไปเรื่อย ๆ ว่า การระเบิดของคลื่นวิทยุ อันรุนแรง จากนอกโลกนี้ มันมาจากสาเหตุใดกันแน่  

            3. ความลึกลับในป่าสุดหลอน โฮยา บาชิอู ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองคลูจ เมืองใหญ่ของแคว้นทรานซิวาเนีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงบูคาเรสต์ เมืองหลวงของโรมาเนีย ซึ่งบรรยากาศภายในป่าจะเต็มไปด้วยต้นไม้ในรูปทรงแปลก ๆ หลากหลายชนิด มีบางต้นเหมือนมีวิญญาณเข้าสิงอยู่ในต้นไม้ รวมทั้งมีเรื่องเล่ากันว่าเป็นแหล่งกบดานของมนุษย์ต่างดาวจากนอกโลก นักท่องเที่ยวหลายคนที่เข้าไปเยือนป่าแห่งนี้ต่างพากันเล่าว่า หลังจากเข้าไปในป่า พวกเขาก็มีรอยไหม้และผื่นคันปริศนาบนร่างกาย ไม่สามารถหาสาเหตุได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แถมจู่ ๆ เวลาก็เดินไปอย่างรวดเร็ว หายไปราวกับถูกเร่ง และน่าแปลกที่พวกเขาไม่สามารถจำได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาที่หายไปเหล่านั้น

            นอกจากนี้แล้วยังมีเรื่องเล่าขานที่น่ากลัวจนทำเอาชาวบ้านละแวกนั้นไม่มีใครย่างก้าวเข้าไป ก็คือในป่าแห่งนี้จะมีผีเต็มไปหมด วันดีคืนดีจะได้พบเห็นศีรษะมนุษย์ลอยไปลอยมาอยู่ในป่า และมีเสียงอันลึกลับดังอยู่โดยรอบ แบบที่ไม่สามารถหาต้นตอของเสียงนั้นได้ว่ามาจากที่ไหน

            4. บุรุษลึกลับในป่าดงดิบของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ต่ำกว่า 10 ปีมาแล้ว ในป่าดงดิบทางตะวันตกของสวิตเซอร์แลนด์ ผู้คนจำนวนไม่น้อยได้พบเห็นบุรุษลึกลับแต่งชุดคล้ายทหารและสวมหน้ากากป้องกันแก๊สพิษและสูงเกือบ 2 เมตร อาศัยอยู่ภายในป่า ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร แต่ชาวบ้านที่ย่างกรายเข้าไปในป่าแห่งนี้เล่าว่า บุรุษลึกลับรายนี้จะเดินตามเส้นทางเดิม ๆ ทุกวัน และพวกเขาตั้งชื่อบุรุษลึกลับว่า "เลอ โลยอง"

            เวลาที่ เลอ โลยอง ต้องเผชิญหน้ากับชาวบ้าน เขาจะไม่พูดคุยอะไรด้วยสักคำและเดินจากไปในความเงียบงัน และถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยทำร้ายใคร แต่เด็ก ๆ ก็กลัวกันมาก

            ตอนนี้ปริศนานี้ก็ยังคงไม่ได้รับการไข ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร ทำไมต้องสวมหน้ากากป้องกันแก๊สพิษ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาจึงไม่พูดจากับใครเลย อย่างไรก็ตาม มีหลายคนสงสัยว่าเขาอาจจะผิดปกติทางจิตหรือเป็นโรคน่าเกลียดน่ากลัวใด ๆ ที่เขาไม่ต้องการจะให้ใครเห็นก็เป็นได้ 

            5. มนุษย์กลายพันธุ์ โจ จิราร์เดลี เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 18 เมื่อ โจ จิราร์เดลี สามารถดื่มจำพวกสารเคมีอันตราย และน้ำมันที่เดือดจัดโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ เลย จนมาเป็นข้อสงสัยว่ามาจากสาเหตุใดกันแน่ เธอกลายเป็นเหมือนคนเหนือคนที่สามารถทำอะไรอย่างที่คนทั่วไปทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการกลั้วปากด้วยน้ำกรดที่สามารถกัดโลหะได้ การอมน้ำมันเดือดแล้วพ่นออกมา การอมขี้ผึ้งร้อน โดยที่ทั้งหมดนี้เธอสามารถทำได้สบาย ๆ ไม่เป็นอะไรเลย

            ปัจจุบันเรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องราวที่สร้างความฉงนงงงวยให้กับชาวอังกฤษ ไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้ว่าลักษณะเช่นนี้เกิดจากอะไรกันแน่ เพราะมันมหัศจรรย์เกินกว่าจะเชื่อว่ามนุษย์ทำได้จริง ๆ 

            6. หมู่บ้านการาจี จอมขี้เซาในประเทศคาซัคสถาน มันเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกมากเมื่อผู้คนในหมู่บ้านนี้จะพากันง่วงเหงาหาวนอนกันตอนกลางวันทุกวันอย่างไม่มีเหตุผล แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เหนื่อยกับการทำอะไรหนัก ๆ มา พวกเขาก็มักจะนอนหลับตอนกลางวันเสมอ แถมยังหลับในระยะเวลาไล่เลี่ยกันซะด้วย

            เช่นในเดือนกันยายน 2557 เด็กนักเรียนหลาย ๆ คนที่เพิ่งจะไปเรียนวันแรก เกิดง่วงนอนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนจะหลับลงพร้อม ๆ กัน ด้านผู้เชี่ยวชาญเองก็ยังไม่อาจอธิบายถึงเรื่องนี้ได้ ทุกอย่างยังเป็นปริศนาต่อไป

            นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า บางคนที่หลับงีบไปจะไม่สามารถจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาได้ รู้สึกวิงเวียนศีรษะ พร้อมทั้งอาการคลื่นไส้และอาเจียน หลังจากตื่นขึ้นมา อีกทั้งยังมีบางคนถึงกับเกิดอาการประสาทหลอนไปเลยด้วย 

            7. การเสียชีวิตของ เจนเน็ตต์ เดอพัลมา โดยเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อปี 1972 เมื่อสุนัขตัวหนึ่งได้ไปพบชิ้นส่วนของมือคนบนยอดของหน้าผาแห่งหนึ่งในเมืองสปริงฟิลด์ รัฐนิวเจอร์ซี จากนั้นก็ได้เอาพากลับมาให้เจ้าของที่บ้าน ซึ่งทำให้ถึงกับตกตะลึงในสิ่งที่พบเห็นทันที ก่อนจะรีบแจ้งตำรวจมาสืบหาเจ้าของมือนี้ และนำมาซึ่งการพบศพ เจนเน็ตต์ เดอพัลมา เด็กสาววัยรุ่นที่หายไปนานถึง 1 เดือนเศษ พร้อมกับสิ่งของแปลกประหลาดวางอยู่รอบ ๆ ตัวเธอ ทำให้เชื่อว่านี่อาจเป็นการฆ่าเพื่อบูชายัญเทพปีศาจซาตาน บ้างก็เชื่อว่าเป็นฝีมือแม่มด

            แต่สิ่งที่แปลกประหลาดกว่านั้น คือ ชาวบ้านในเมืองนี้ไม่มีใครปริปากพูดถึงการฆาตกรรมดังกล่าวเลย กระทั่ง 30 ปีต่อมา ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ก็ต่างพากันปฏิเสธที่จะออกความเห็นใด ๆ หรือพูดถึงเรื่องนี้ แม้ว่าจะมีสื่อบางแห่งไปสัมภาษณ์ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมพูดถึง รวมถึงตำรวจท้องถิ่นก็เป็นไปกับเขาด้วยเช่นกัน

            ข่าวการเสียชีวิตของเจนเน็ตต์เป็นข่าวใหญ่เพียงแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น ก่อนจะเงียบหายไปกับสายลมนับตั้งแต่นั้น ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ และก็ยังไม่รู้ว่าฆาตกรเป็นใคร

            8. ฝ่ามือบนหน้าต่างที่ลบไม่ออก เรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนายฟรานซิส ลิวี ที่มีอาชีพเป็นนักดับเพลิงในช่วงระหว่างปี 1920 ซึ่งเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงาน มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จนมาถึงวันที่ 18 เมษายน ปี 1924 เพื่อนร่วมงานของนายลิวี รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่มีแสดงอาการสดชื่นกับพูดเสียงเอื่อย ๆ ค่อย ๆ แบบที่ไม่เหมือนที่เคยเป็น แถมชอบไปล้างกระจกในสถานีดับเพลิงของเมืองชิคาโก้ โดยไม่พูดคุยกับใครเลย 

            หลังจากไม่นาน ทางด้านของฟรานซิส ก็ได้พูดลอย ๆ ออกมาในท่าทีที่แปลก ๆ แบบพูดเป็นลางว่า เขาจะตายในวันนี้ ทันใดนั้น ก็มีสัญญาณเตือนแจ้งเหตุเพลิงไหม้ดังขึ้น ซึ่งมีกลุ่มหมอกควันไฟหนาแน่นบนอาคาร ซึ่งทางด้านของนายลิวีกับเพื่อน ก็ได้หนีไปยังชั้นดาดฟ้า ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทันใดนั้นเพลิงไหม้ก็ได้ลุกลามไปยังส่วนชั้นล่างของอาคาร จนทำให้หลังคาถล่มลงมา เป็นเหตุให้กำแพงพังถล่มร่วงมาทับคนที่อยู่ใต้ซากปรักหักพัง รวมไปถึงตัวนาย ลิวี ด้วย ส่งผลให้นักดับเพลิง ผู้เป็นที่รักของเพื่อน ๆ เสียชีวิตทันที เนื่องมาจากเขาได้ช่วยเหลือคนคนอื่น เอาไว้

            หลังจากนั้นทางเพื่อนคู่หูของลิวี ก็ได้นั่งนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านมา ทันใดนั้นก็เห็นอะไรบางอย่าง ตรงหน้าต่างที่ลีวีเคยเช็ดเมื่อวันก่อน ปรากฏว่าพบรอยฝ่ามือติดอยู่กับกระจก แถมลบไม่ออกด้วย แม้ว่าจะทำความสะอาดด้วยน้ำยาเคมีหลาย ๆ อย่างแล้ว ทำให้ใครต่อใครต่างฉงนมาก อย่างไรก็ดี กระจกบานนี้ได้แตกลงแล้วเมื่อ 20 ปีต่อมา

            9. การระลึกชาติของโดโรธี อิดี เธอเป็นชาวอังกฤษที่เชื่อว่าตัวเองคือหญิงอียิปต์โบราณกลับชาติมาเกิด เมื่อโดไรธีเกิดมาได้ 3 ขวบ เธอได้ประสบอุบัติเหตุพลัดตกจากบันไดภายในบ้านของเธอ ในกรุงลอนดอน ทำให้สลบแน่นิ่งกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ก่อนที่แพทย์จะประกาศว่าเธอเสียชีวิตลงแล้ว แต่แล้วเรื่องราวไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อวันหนึ่งโดโรธีก็ฟื้นจากความตายขึ้นมา แต่ว่าเธอเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

            เพราะหลังจากการตกบันไดครั้งนั้น โดโรธีก็เฝ้าออดอ้อนกับครอบครัวว่า เธออยากกลับบ้านของเธอ และมีอยู่วันหนึ่งทางครอบครัวของโดโรธี ก็พาไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ "บริติช มิวเซียม" เมื่อเข้ามาในส่วนของอารยธรรมอียิปต์โบราณ โดโรธีก็เกิดอาการแน่นิ่งขึ้นมาทันทีทันใด ก่อนจะนั่งเฝ้าโลงแก้วที่บรรจุศพมัมมี่ แล้วก้มจูบเท้าของรูปปั้นอียิปต์โบราณ ครอบครัวจะพากลับบ้านก็ไม่ยอมกลับ

            หลังจากวันนั้นทุกอย่างก็ดูเหมือนจะหนักหน่วงขึ้นไปอีก เมื่อโดโรธีกลายเป็นคนที่เก็บตัวและเอาแต่มองดูรูปภาพสถาปัตยกรรมอียิปต์โบราณทั้งวัน บอกว่านั่นคือบ้านของเธอและหวังที่จะกลับยังดินแดนไอยคุปต์แห่งนี้ จนกระทั่งเธอไปเจอรูปวิหารแห่งฟาโรห์เซติที่ 1 ของเมืองอไบดอส ปฏิกิริยาของเธอก็กลับมาตื่นเต้นโดยฉับพลัน จากนั้นจึงรีบไปบอกพ่อของเธอว่า ที่นี่คือบ้านเดิมของเธอเอง

            เมื่อโดโรธีเติบโตขึ้นเธอก็ย้ายไปอยู่ในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เธอเริ่มเขียนหนังสือยาวกว่า 70 หน้า เกี่ยวกับอียิปต์โบราณ และบอกว่าเธอคือนักบวชหญิงในยุคนั้นและมีลูกกับฟาโรห์เซติเมื่ออายุได้ 14 ปี แต่การที่นักบวชมีลูกเช่นนั้น ถือว่าเป็นเรื่องผิดอย่างมาก เธอจึงฆ่าตัวตายเพื่อปกป้องฟาโรห์ไม่ให้ถูกลงโทษจากการสมสู่กับนักบวชเช่นเธอ

            เรื่องราวของเธอดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อและฟุ้งซ่าน แต่ใครเลยจะเชื่อว่า เธอทำให้นักโบราณคดีทึ่งมาแล้ว เพราะเธอรู้จุดต่าง ๆ ภายในดินแดนอียิปต์โบราณทั้งที่ไม่มีใครเคยค้นพบหรือรู้มาก่อนเลย และในที่สุดเธอก็เป็นคนสำคัญในการค้นหาประตูและอุโมงค์บางจุดภายในดินแดนแห่งนี้


            10. หมู่บ้านคนแคระ เมืองหยางซี ตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวน ทางตอนใต้ของจีน ซึ่งดูผิวเผินก็ของหมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือ จำนวนประชากรในหมู่บ้านแห่งนี้ ร้อยละ 80 มีรูปร่างที่เตี้ยเล็ก เหมือนคนแคระทั้งหมด ส่วนสาเหตุที่สันนิษฐานกัน คาดว่าน่าจะเกิดมาจากการระบาดของโรคลึกลับโรคหนึ่งเมื่อช่วง 60 ปีที่แล้ว ซึ่งจะส่งผลให้ไปหยุดการเจริญเติบโตของมนุษย์ ทั้งที่จะมีอัตราการเกิดคนแคระได้แค่ 1 ใน 20,000 คนเท่านั้นในโลกนี้ แต่นั่นก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น ณ เวลานี้ ยังไม่สามารถสรุปได้ว่ามันเกิดจากอะไรกันแน่

ขอขอบคุณข้อมูลจาก listverse.com




เรื่องที่คุณอาจสนใจ
10 เรื่องราวสุดลึกลับที่ยังเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้ อัปเดตล่าสุด 4 ธันวาคม 2562 เวลา 17:16:30 97,638 อ่าน
TOP