นักธุรกิจพันล้าน ประธานสโมสรอินทรีเพื่อนตำรวจ เดินทางเข้าแจ้งความกองปราบปราม หลังถูกกลุ่มมาเฟียรีดไถเงินนับ 100 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. นายไพโรจน์ เทศนิยม นายกสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย ได้พา นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา นักธุรกิจพันล้าน เจ้าของบริษัท สัญญาประกันภัย จำกัด (มหาชน) ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจและผู้ถือหุ้นสโมสรเทรดดิ้ง แห่งศึกแชมเปี้ยนชิพ ประเทศอังกฤษ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ. อัครเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. เพื่อร้องขอความเป็นธรรมกรณีที่ นายสัมฤทธิ์ ถูกทางกองปราบปรามการทุจริตและประพฤติไม่ชอบ (ปปป.) แจ้งข้อหากระทำการสนับสนุนข้าราชการโดยมิชอบ และผิดระเบียบวัตถุประสงค์การกู้ยืมเงินของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) โดยมีการแจ้งความเท็จและไม่เป็นความจริง นอกจากนี้นายสัมฤทธิ์ ได้แจ้งความที่กองปราบปรามกรณีถูกชายฉกรรจ์ข่มขู่คุกคามเรียกเงินจำนวน 177 ล้านบาท พร้อมกับขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินด้วย
_15.jpg)
นายสัมฤทธิ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อประมาณกลางปี 2556 ทางบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ต กรุ๊ป จำกัด ซึ่งตนเป็นเจ้าของได้ดำเนินการริเริ่มจัดทำโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยใช้ที่ดินจำนวน 1,192 ไร่ ตั้งอยู่ที่ ม.3 ต.ยางน้ำกลัดใต้ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี ด้วยงบประมาณการลงทุนทั้งโครงการ รวมมูลค่า 6,500 ล้านบาท ซึ่งหลังจากโครงการดังกล่าวจัดทำขึ้น ทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ได้นำเงินจำนวน 2,100 ล้านบาท มาร่วมลงทุนด้วยตั้งแต่เดือนธันวาคม 2556
ทั้งนี้ภายหลังจากที่มีการร่วมลงทุนและอยู่ระหว่างการดำเนินการโครงการ ช่วงประมาณเดือนสิงหาคม 2557 ได้มีอดีตสมาชิกกองทุน ชพค. และ สกสค. คนหนึ่งได้เข้าแจ้งความกับทาง พ.ต.ท.ศราวุธ โชติสุวรรณ ซึ่งในขณะนั้นเป็นพนักงานสอบสวนของทางกองบังคับการปราบปราม จากวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา อดีตบอร์ดบริหารคนดังกล่าวได้แจ้งความที่ ปปป. กล่าวหาตนว่ากระทำการสนับสนุนข้าราชการโดยไม่ชอบ และผิดระเบียบวัตถุประสงค์การกู้ยืมเงินของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ทั้งนี้ความเป็นจริงทางบริษัทของตนไม่ได้มีการกู้ยืมเงิน แต่ทาง สกสค. นำเงินมาร่วมลงทุนกัน
นายสัมฤทธิ์ กล่าวต่อว่า อดีตบอร์ดคนดังกล่าวได้พยายามติดต่อตนเรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา ทางอดีตบอร์ดคนดังกล่าวได้โทรศัพท์มาหาตนเพื่อนัดหมาย โดยได้นัดหมายกันที่ค่ายลูกเสือแห่งหนึ่ง ใน อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ตนจึงได้เดินทางไป ทันทีที่ไปถึงพบมีชายฉกรรจ์ 9 คน 4 คนมีอาวุธปืน โดยหนึ่งในนั้นมีอดีตสมาชิกคนดังกล่าวอยู่ด้วย และได้บังคับข่มขู่ให้ตนถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด โดยเหลือเพียงผ้าขนหนูผืนเดียว และให้เดินไปคุยกับอดีตสมาชิก ที่บ้านพักในค่ายดังกล่าว ทั้งนี้กลุ่มของอดีตสมาชิกได้เจรจากับตน โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ
1. ขอให้ตนนั้นร่วมมือเพื่อล้มล้างบอร์ดบริหารของ สกสค.
2. ให้นำเงินจำนวน 177 ล้านบาทมาจ่ายให้เพื่อได้ยุติคดีและจะถอนข้อกล่าวหานั้น โดยงวดแรกให้จ่ายเงินจำนวน 77 ล้าน แบ่งเป็นจำนวน 4 กระเป๋า โดยมียอดไม่เท่ากัน
3. อดีตสมาชิกคนดังกล่าวบอกว่าหากล้มล้างบอร์ด สกสค. ชุดปัจจุบันได้แล้ว จะให้การสนับสนุนตนเป็นการตอบแทนในทุก ๆ โครงการต่อไป โดยขอให้จ่ายเงินจำนวน 30 เปอร์เซ็นต์ คืนให้แก่พรรคพวกตน
อย่างไรก็ตามในระหว่างการเจรจานั้น เพื่อเป็นการเอาตัวรอด และให้มีชีวิตปลอดภัย ตนจึงได้รับปากว่าจะนำเรื่องดังกล่าวไปพิจารณา
_14.jpg)
จากนั้นเมื่อตนกลับถึงบ้านที่กรุงเทพฯ วันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา อดีตสมาชิกคนดังกล่าวได้โทรศัพท์มาเพื่อเรียกเงินจำนวน 177 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินงวดแรก โดยขอให้นำไปชำระในวันที่ 19 มกราคม ที่สถานที่แห่งใหม่ใน จ.เพชรบุรี แต่เมื่อถึงวันนัดหมายทางนายสัมฤทธิ์ มิได้เดินทางไปตามเวลาและสถานที่นัดหมาย ทางฝั่งอดีตสมาชิกจึงได้มีการโทรศัพท์หาตนเพื่อข่มขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายและฆ่าตน อีกทั้งขู่นำระเบิดมาวางไว้ที่ทำงาน ณ อาคาร KPN ชั้นที่ 6 และ 7 ด้วยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ตนทนไม่ไหวจึงจำเป็นต้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากกรณีดังกล่าวทำให้ตนนั้นไม่ปลอดภัย เสื่อมเสียชื่อเสียง อีกทั้งยังกระทบต่อธุรกิจที่ตนบริหารอยู่อีกหลายบริษัททั้งภายในและต่างประเทศ
ผมไม่อยากให้ผู้บริหารกองทุนและครูทั่วประเทศเกิดความเข้าใจผิด ว่าผมนำเงินของครูมาทำให้เกิดความเสียหาย ขอยืนยันด้วยความสัตย์จริงทุกอย่างว่าผมทำถูกต้องตามกฎหมาย นายสัมฤทธิ์ กล่าว
ทางด้าน พ.ต.อ. อัครเดช กล่าวว่า เบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบรายละเอียดเอกสารทั้งหมดพร้อมสอบปากคำทางผู้เสียหายเพิ่มเติมและพยานหลักฐานต่าง ๆ ว่ามีการกระทำผิดในรูปแบบใดโดยทางพนักงานสอบสวนจะตรวจสอบดูในเรื่องระเบียบข้อกฎหมายต่าง ๆ และจะดำเนินการให้ถึงที่สุด หากตรวจสอบว่าเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลจะมีการดำเนินการในขั้นพิเศษ อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นเข้าข่ายคดีกรรโชกทรัพย์และกักขังหน่วงเหนี่ยว






