ปันจักสีลัต ประวัติกีฬาประจำชาติของประเทศบรูไน ที่คนไทยเริ่มคุ้นชื่อกันมากขึ้นหลังนักกีฬาไทยไปคว้าชัยในการแข่งขันซีเกมส์ ลองไปทำความรู้จักกัน
กีฬาปันจักสีลัต นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคนไทยในมหกรรมกีฬา ซีเกมส์ 2015 ครั้งที่ 28 ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งหากใครติดตามมาโดยตลอดคงจะทราบว่านักกีฬาปันจักสีลัตทีมชาติไทยโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการคว้ามาได้ถึง 3 เหรียญทอง และอีก 1 เหรียญเงิน
และด้วยความที่กีฬาปันจักสีลัตไม่ได้เป็นกีฬาที่คนไทยนิยมเล่นกันมากนัก อาจทำให้หลายคนไม่คุ้นกับชื่อของกีฬาชนิดนี้ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำเอาประวัติความเป็นมาและกติกาปันจักสีลัต มาให้ทุกคนได้รู้ไปพร้อม ๆ กัน
ประวัติกีฬาปันจักสีลัต
กีฬาปันจักสีลัต เป็นกีฬาประจำชาติของประเทศบรูไนดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) โดยปันจักสีลัต (Pencak Silat) เป็นคำที่มาจากภาษาอินโดนีเซีย มาจากคำว่า ปันจัก (Pencak) หมายถึงการป้องกันตนเอง และคำว่า สีลัต (Silat) หมายถึงศิลปะ รวมความแล้วหมายถึงศิลปะการป้องกันตนเอง เดิมทีกีฬาประเภทนี้เป็นศิลปะการต่อสู้ของคนเชื้อสายมาลายู ในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน และพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย คือ ปัตตานี ยะลา สตูล นราธิวาส และสงขลา มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สิละ, ดีกา หรือ บือดีกา เป็นศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า เท้าเปล่า เน้นให้เห็นลีลาการเคลื่อนไหวที่สวยงาม ท่ารำกำเนิดจากช่อดอกบอมอร์ในกระแสน้ำวน
ทั้งนี้ มูบิน เชปปาร์ค (Mubin Shepard) นักประวัติศาสตร์ กล่าวไว้ว่า การต่อสู้แบบสิละมีจุดกำเนิดที่เกาะสุมาตราตั้งแต่ 400 ปีมาแล้ว แต่ต่อมาผู้สอนได้ดัดแปลงแก้ไขให้เข้ากับยุคสมัยจนเป็นที่สนใจแพร่หลาย โดยตามตำนานกล่าวว่า มีคน 3 คนเป็นเพื่อนกัน สืบเชื้อสายสุมาตรา คือ บูฮันนุดดิน, ซัมซุดดิน และฮามินนุดดิน ได้เดินทางจากมินังกาบัง ฝั่งตะวันตกของเกาะสุมาตราไปศึกษาวิทยายุทธ ณ เมืองอะแจ ที่สำนักวิทยายุทธ ซึ่งอยู่ใกล้สระน้ำใหญ่
วันหนึ่ง ฮามินนุดดิน ได้ไปตักน้ำที่สระน้ำแห่งนั้นและได้สังเกตเห็นกระแสน้ำที่ไหลมาจากหน้าผาสูงลงมาในสระ โดยมีดอกบอมอร์ช่อหนึ่งหล่นจากต้นลงมากลางสระกระทบน้ำในสระกลายเป็นระลอกคลื่น หมุนเวียนสวยงาม จากนั้นจึงค่อย ๆ ไหลย้อนกลับไปใกล้ตลิ่งแล้วลอยไปลอยมา เหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิต จิตใจ ทำให้ฮามินนุดดินทึ่งในสิ่งที่เห็นและได้นำดอกบอมอร์ติดตัวกลับไป พร้อมนำลีลาการลอยของดอกบอมอร์ไปประยุกต์ใช้กับท่าร่ายรำแก่เพื่อนอีก 2 คน เพื่อป้องกันฝ่ายปรปักษ์ จึงเกิดเป็นวิชาสิละตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ประเภทของกีฬาปันจักสีลัต
ปันจักสีลัตแบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ
1. การต่อสู้ (Tanding)
เมื่อเริ่มต้นการแข่งขัน นักกีฬาทั้งคู่จะทำความเคารพกันและกัน เรียกว่า สาลามัต โดยการสัมผัสมือแล้วแตะที่หน้าผาก จากนั้นจึงเริ่มร่ายรำด้วยท่าต่าง ๆ ตามศิลปะสิละ แล้วค่อยโจมตีคู่ต่อสู้ที่ต้องใช้เทคนิค กลยุทธ์ ความแข็งแกร่ง ความอดทน ประกอบรวมกันทำให้คู่ต่อสู้ล้ม
ซึ่งในบางครั้งนักกีฬาจะกระทืบเท้าให้เกิดเสียงหรือใช้ฝ่ามือตีที่ต้นขาของตนเอง เพื่อให้เกิดเสียงข่มขวัญคู่ต่อสู้ ในการต่อสู้อาจมีการลองเชิงดูท่าทางอีกฝ่ายก่อนหาทางพิชิตคู่ต่อสู้ ซึ่งสามารถใช้มือฟาดหรือใช้เท้าดันร่างกายฝ่ายตรงข้าม หรือโจมตีอย่างรวดเร็วเพื่อทำให้อีกฝ่ายล้มลงหรืออาศัยการตัดสินจากผู้ดูรอบสนามว่าเป็นเสียงปรบมือให้ฝ่ายใดดังกว่า จะถือว่าฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายชนะ
2. ประเภทเดี่ยวปันจักลีลา (Tunggal)
การแข่งขันประเภทร่ายรำการต่อสู้แบบเดี่ยว จะใช้นักกีฬา 1 คน ซึ่งจะมีท่าเฉพาะในการแข่งขัน 100 กระบวนท่า สามารถเล่นด้วยมือเปล่า หรือ ใช้มีด (Golok) และกระบอง (Tongkat) และในการแข่งขันจำเป็นต้องใช้ความชำนาญในการร่ายรำเพื่อให้กระบวนท่าถูกต้องและมีความชัดเจนจึงจะได้คะแนน
3. ประเภทคู่ปันจักลีลา (Ganda)
การแข่งขันประเภทร่ายรำการต่อสู้แบบคู่ จะใช้นักกีฬาลงแข่งขันทีมละ 2 คน ไม่มีท่าบังคับ โดยการแสดงจะใช้กระบวนท่าต่อสู้ และใช้เทคนิคการต่อสู้ผสมผสานกับการป้องกันตัว ใช้มือเปล่าในการเล่นหรือใช้อาวุธ 3 ชนิด คือ มีด, กระบอง และอาวุธอีกหนึ่งประเภท ซึ่งสามารถเลือกได้คือ กรีซ (Keris) มีดสั้น (Pisau) เคียว (Celurit) และไตรซูล่า (Trisura) ตามความชำนาญของผู้ใช้
4. ประเภททีมปันจักลีลา (Rega)
การแข่งขันประเภททีม จะใช้นักกีฬาลงแข่งขัน ทีมละ 3 คน ในการแข่งขันจะมีท่าเฉพาะ 100 กระบวนท่า ซึ่งจะเล่นด้วยมือเปล่าเพียงอย่างเดียวหรือใช้อาวุธก็ได้ โดยกระบวนท่าจะเน้นความถูกต้อง ความพร้อมเพียง ความแข็งแรงของกระบวนท่าสีหน้าและท่าทางการออกอาวุธในแต่ละกระบวนท่าของผู้แข่งขัน
กติกาปันจักสีลัต มีอะไรที่ควรรูบ้าง
1. สนามแข่งขัน
- สนามแข่งขันสามารถจัดบนพื้นหรือเวที ที่มีขนาดกว้าง 10 เมตร ยาว 10 เมตร ซึ่งต้องปูพื้นด้วยเบาะ ที่มีลักษณะราบเรียบไม่ยืดหยุ่น มีความหนาไม่เกิน 3-5 เซนติเมตร แล้วจึงปูทับด้วยแผ่นวัสดุที่ไม่ลื่น
- สังเวียนที่ทำการแข่งขัน (Competition Ring) มีลักษณะเป็นวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 เมตร โดยผู้แข่งขันต้องแข่งขันกันภายในวงกลมนี้
- เส้นแบ่งเขตระหว่างสนามแข่งขันกับสังเวียนที่ทำการแข่งขัน มีลักษณะเป็นเส้นกว้าง 5 เซนติเมตร สีของเส้นแบ่งเขตจะต้องเป็นสีที่ตัดกับสีของพื้นที่สนามการแข่งขัน
- ตรงกลางของสังเวียนที่ทำการแข่งขัน ประกอบด้วยวงกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เมตร และเส้นกว้าง 5 เซนติเมตร วงกลมนี้จะเป็นเส้นแยกให้ผู้แข่งขันทั้งสองอยู่ห่างกันก่อนเริ่มต้นของการแข่งขัน
- มุมของนักกีฬาทั้งสองฝ่าย จะตั้งอยู่ในมุมทแยงนอกสังเวียนของสนามที่ใช้ทำการแข่งขันมี โดยมีมุมสีแดงและมุมน้ำเงิน
2. อุปกรณ์การแข่งขัน
- การแต่งกายชุดปันจักสีลัต นักกีฬาจะสวมใส่ชุดปันจักสีลัต ซึ่งคล้ายกับชุดยูโด สีดำและสายคาดเอว โดยฝ่ายหนึ่งจะเป็นสีแดง อีกฝ่ายจะเป็นสีน้ำเงิน และนักกีฬาต้องสวมเกราะป้องกันลำตัวที่ได้มาตรฐานตามที่กำหนด ซึ่งมีขนาด S, M, L, XL และ XXL รวมทั้งต้องใส่กระจับทั้งชายและหญิงก่อนลงสนามทุกครั้ง นอกจากนี้ยังอนุญาตให้สวมสนับแขน ขา และใส่ฟันยางได้
- การติดเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ ตราสมาคมควรติดไว้ที่หน้าอกด้านซ้าย ตราสมาสัมพันธ์ปันจักสีลักไว้หน้าอกด้านขวา ธงชาติติดไว้ที่แขนขวาและตราผู้สนับสนุนต่าง ๆ ที่แขนด้านซ้ายแต่ไม่เกิน 10 เซนติเมตร และเครื่องหมายต้องไม่ใหญ่กว่าตราสมาพันธ์ปันจักสีลัต ส่วนชื่อประเทศควรติดไว้ด้านล่างข้างหลัง และห้ามสวมใส่เครื่องประดับต่าง ๆ ก่อนลงสนามทุกครั้ง
3. การแบ่งสายการแข่งขัน
3.1 จัดการแข่งขันแบบแพ้ครั้งเดียวคัดออก
3.2 ใช้การจับสลากในวันประชุมผู้จัดการทีม หลังจากที่ได้รายชื่อนักกีฬา (ตามที่แจ้งมา/ที่ชั่งน้ำหนักครั้งแรก) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
4. ระยะเวลาในการแข่งขัน
- ระดับก่อนยุวชน ยุวชน และระดับอาวุโส การแข่งขันแบ่งเป็นทั้งหมด 3 ยก ยกละ 1.30 นาที การพักระหว่างยกใช้เวลา 1 นาที ใช้เวลาทำการแข่งขัน 1.30นาที ไม่รวมเวลาที่มีการหยุดระหว่างการแข่งขัน
- ระดับเยาวชน และระดับประชาชน การแข่งขันแบ่งเป็นทั้งหมด 3 ยก ยกละ 2 นาที การพักระหว่างยกใช้เวลา 1 นาที ใช้เวลาทำการแข่งขัน 2 นาที ไม่รวมเวลาที่มีการหยุดระหว่างการแข่งขัน
5. กติกาในการแข่งขัน
- ผู้แข่งขันหันหน้าเข้าหากันและใช้ศิลปะการต่อสู้ โดยนักกีฬาปันจักสีลัตจะต้องเข้ากระทำเป้าหมาย เช่น การปัดป้อง การหลบหลีก การเข้าทำ การทำให้ล้ม เป็นต้น ซึ่งผู้แข่งขันต้องยอมรับในหลักการของปันจักสีลัต และต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อห้ามต่าง ๆ ที่ได้ระบุไว้
- การรุก (Offensive) และการรับ (Defensive) จะต้องเริ่มจากท่าเตรียมพร้อม (Bersidia) แล้วใช้กลวิธีของการจับคู่ ต่อจากนั้นให้ก้าวเท้าหาคู่ต่อสู้แล้วใช้ท่าของการทำหรือการป้องกันให้สัมพันธ์กันและหลังจากทำเสร็จสิ้นแล้ว ผู้แข่งขันต้องเข้าสู่ท่าเตรียมหรือท่าจับคู่
- การเข้าโจมตีแต่ละชุดต้องทำตามลำดับ โดยใช้วิธีการเข้าทำหลาย ๆ วิธี เพื่อให้ถึงเป้าหมาย แต่ไม่เกินชุดละ 6 ครั้งต่อเนื่อง และท่าของการเข้าทำนั้นจะต้องไม่ซ้ำติดต่อกัน จึงจะได้คะแนนรวมจากการกระทำทั้งหมด เช่น การเข้าทำโดยใช้มือที่มีลักษณะการเข้าทำเหมือนกันติดต่อกันสองครั้งจะได้คะแนนเท่ากับทำเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
- นักกีฬาสามารถโจมตีคู่แข่งขัน ไปยังเป้าหมายอย่างทันทีทันใดด้วยเท้าหรือมือได้ 1 ครั้ง
- หากเท้าของนักกีฬา ไม่ว่าจะเท้าข้างใดข้างหนึ่งก้าวพ้นเส้นออกมา กรรมการจะนับว่าออกทันที
6. คำสั่งที่ใช้ในการแข่งขัน
- เบอร์ซิเดีย (Bersidia) หมายถึง การเตรียมพร้อม ใช้สำหรับเตือนผู้แข่งขัน กรรมการ และเจ้าหน้าที่ ๆ เกี่ยวข้องกับการแข่งขันให้เตรียมพร้อม ขณะที่การแข่งขันกำลังจะเริ่มต้น
- มูลาย (Mulai) หมายถึง เริ่มได้ ใช้เมื่อต้องการให้เริ่มแข่งขันหรือแข่งขันต่อไปได้
- เบอร์เฮนตี (Berhanti) หมายถึง หยุด ใช้เพื่อหยุดการแข่งขัน
- พาซัง (Pasang) หมายถึง การจับคู่ ใช้เพื่อให้ผู้แข่งขันจับคู่เตรียมพร้อมแข่งขัน
- เสียงฆ้อง เป็นสัญญาณให้เริ่มต้นและยุติการแข่งขัน จะมีคำสั่งให้เริ่มหรือหยุดการแข่งขันควบคู่ไปด้วย
7. เป้าหมายในการโจมตีคู่ต่อสู้ มีดังนี้
- อก
- ท้อง (บริเวณลำตัวเหนือขึ้นไป)
- ด้านข้างซ้าย ขวาของเอว
- บริเวณหลัง (ห้ามโจมตีที่กระดูกสันหลัง)
- ขา (ตั้งแต่ข้อเท้าลงไป) ไม่ใช่เป้าหมาย แต่สามารถเข้าทำได้เพื่อให้ได้คะแนนจากการกระทำให้อีกฝ่ายล้มได้
8. การตัดสิน แบ่งได้หลายวิธี ได้แก่
8.1 การชนะคะแนน (Winning Score) มีหลักการตัดสิน ดังนี้
- คะแนนรวมของผู้แข่งขันคนหนึ่งมากกว่า ถือว่าเป็นผู้ชนะ
- หากคะแนนรวมเท่ากัน ผู้ตัดสินจะตัดสินให้ฝ่ายที่ถูกตำหนิโทษน้อยกว่าเป็นผู้ชนะ ซึ่งหากยังเสมอกันอีกให้พิจารณาที่เทคนิคการต่อสู้ ฝ่ายใดมีเทคนิคสูงกว่าให้เป็นผู้ชนะ และถ้ายังเสมอกันอีก ให้มีการแข่งขันอีก 1 ยก
- หากแข่งขันกันอีกครั้งแล้วเสมอกันอีก ให้ดูน้ำหนักตัวของนักกีฬาทั้งคู่ตอนชั่งก่อนเริ่มแข่งขัน นักกีฬาผู้ใดมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าจะเป็นผู้ชนะ และหากเกิดกรณีที่นักกีฬามีน้ำหนักตัวเท่ากันอีก ให้ผู้ตัดสินหาผู้ชนะโดยวิธีการใช้เหรียญ ท่ามกลางผู้จัดการทีมหรือผู้ฝึกสอนทั้งสองฝ่ายเป็นสักขีพยาน
- ผู้ชี้ขาดจะเป็นผู้กำหนดฝ่ายชนะ
8.2 การชนะโดยเทคนิคเกิ้ล น็อกเอาท์ (Technical Knock Out) มีหลักการตัดสิน ดังนี้
- จากกรณีที่ตัวผู้แข่งขันเองไม่สามารถแข่งขันต่อไปได้อีกและบอกผู้ตัดสินด้วยตนเอง หรือการถอนตัวออกจากการแข่งขันขณะที่การแข่งขันกำลังดำเนินการอยู่
- จากการตัดสินใจของแพทย์ประจำสนาม ภายในเวลา 120 วินาที
- จากการบอกยอมแพ้ของพี่เลี้ยง ทำได้โดยการโยนผ้าขนหนู
- จากผู้ตัดสินชี้ขาด (นับ 10)
8.3 การชนะโดยสมบูรณ์ หรือการชนะโดยน็อกเอาท์ (Absolute Win) มีหลักการตัดสิน ดังนี้
- การตัดสินใจให้ชนะโดยสมบูรณ์จะเกิดขึ้นเมื่อผู้แข่งขันฝ่ายหนึ่งถูกกระทำเข้าเป้าหมายอย่างถูกต้องตามกติกา จนไม่สามารถแข่งขันต่อไปได้หลังจากผู้ชี้ขาดนับครบ 10
8.4 การชนะโดยการให้ออกจากการแข่งขัน (Win due to Disqualification) มีหลักการตัดสิน ดังนี้
- คู่ต่อสู้ถูกลงโทษเตือนเป็นครั้งที่ 3
- คู่ต่อสู้ทำการละเมิดกติกาอย่างรุนแรง จะถูกสั่งให้ออกจากการแข่งขันในทันทีทันใด
- นักกีฬาละเมิดกติกาจนทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บและ ไม่สามารถทำการแข่งขันต่อ โดยการวินิจฉัยของแพทย์สนาม นักกีฬาผู้ละเมิดจะถูกให้ออกจากการแข่งขัน
- คู่ต่อสู้ชั่งน้ำหนักการแข่งขันไม่ผ่าน ภายในระยะเวลาที่กำหนด
- ไม่มีใบรับรองแพทย์ก่อนเริ่มแข่งครั้งแรก
- แพทย์ไม่อนุญาตให้ลงทำการแข่งขันในรอบต่อไป
8.5 การชนะเนื่องจากกรรมการยุติการแข่งขัน (Referee stop the Competition) หรือ (RSC) มีหลักการตัดสิน ดังนี้
- การชนะประเภทนี้ ผู้ชี้ขาดจะยุติการแข่งขันและตัดสินให้นักกีฬาทีมีฝีมือเหนือกว่าเป็นฝ่ายชนะ
8.6 การชนะเนื่องจากคู่ต่อสู้ไม่ปรากฏตัวที่สนามแข่งขัน หรือชนะโดยได้ผ่าน (Walk Over) มีหลักการตัดสิน ดังนี้
- จะตัดสินให้นักกีฬาจะชนะ เนื่องจากคู่ต่อสู้ไม่ปรากฏตัว ณ สนามแข่งขัน ภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งมีการจะประกาศเรียกชื่อ 3 ครั้ง
9. ข้อห้าม
- ห้ามเอานิ้วมือแทงตาคู่ต่อสู้เพราะต่างไม่สวมนวม
- ไม่กำมือแน่นอย่างชกมวยไทยหรือมวยสากล
- ห้ามบีบคอ ห้ามต่อยแบบมวยไทย เช่น ใช้ศอก และเข่า
10. กระบวนท่าต่าง ๆ
- ซังคะ ตั้งท่าป้องกัน
- ลังคะดาน ท่ายืนตรงพร้อมต่อสู้
- ลังคะทีฆา ท่ายกมือป้องกัน คือมือขวาปิดท้องน้อยแขนซ้ายยกเสมอบ่า
- ลังคะเลิมปัด ท่าก้าวไปตั้งหลักเบื้องหน้าปรปักษ์ โดยก้าวเท้าทั้งสองอย่างรวดเร็ว
11. การละเมิดกติกา สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้
11.1 การละเมิดกติกาที่รุนแรง ได้แก่
- การเข้ากระทำที่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายที่กำหนดห้ามไว้แล้ว เช่น ศีรษะ, คอ, กระดูกสันหลัง และกระดูกระยางค์ส่วนล่าง
- จงใจหักหรือกระทำข้อต่อส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกายของคู่ต่อสู้
- เจตนาเหวี่ยงหรือผลักคู่ต่อสู้ออกนอกสนามแข่งขัน
- ใช้ศีรษะชนหรือกระแทกด้วยศีรษะ
- เข้ากระทำคู่ต่อสู้ก่อนคำสั่ง มูลาย (Mulai) ที่หมายถึงคำสั่งเริ่มได้ หรือการเข้ากระทำต่อคู่ต่อสู้หลังจากคำสั่ง เบอร์เฮนตี (Berhanti) ที่หมายถึงคำสั่งหยุดการแข่งขัน
- เข้ากระทำโดยการ ปล้ำ, กัด, ข่วน, บีบ, กระชากหรือดึงผม คู่ต่อสู้
- กล่าวคำผรุสวาท, สาปแช่ง, ดูหมิ่น, ข่มขู่ หรือทำร้ายผู้ชี้ขาด ผู้ตัดสิน และประธานผู้ตัดสิน
- กล่าวคำเยาะเย้ย, ล้อเลียน, สาปแช่ง, ถ่มน้ำลาย หรือ ตะโกนใส่คู่ต่อสู้ด้วยเสียงที่ดังเกินไป
- การจับ, การโอบกอด, การคว้าขณะที่โจมตีคู่ต่อสู้
- นำวัตถุต้องห้ามมาใช้และทำให้เกิดอันตราย ระหว่างการแข่งขัน
- ผู้แข่งขันละเมิดกติกาการแข่งขันซ้ำเป็นครั้งที่ 3 หลังจากได้รับการเตือนเกี่ยวกับการละเมิดกติกามาแล้ว 2 ครั้ง
11.2 การละเมิดกติกาที่ไม่รุนแรง
- การออกนอกสนาม หรือ ก้าวเท้าออกจากเส้นวงกลมรอบนอก
- เหนี่ยวรั้งเกราะหรือเครื่องแต่งกายของคู่ต่อสู้ จากกระบวนการป้องกันตัว
- ไม่เดินเคลื่อนไหวตามแบบฉบับของกีฬาปันจักสีลัต
- ใช้เสียงดังระหว่างการแข่งขัน
- การใช้เทคนิค กรรไกร กวาดหน้าและกวาดหลังเพื่อถ่วงเวลา
- สื่อสารกับผู้อื่นหรือผู้ฝึกสอนขณะแข่งขัน
- นักกีฬาไม่พยายามทำการแข่งขัน
- หันหลังให้คู่ต่อสู้
- ใช้เทคนิคในการถ่วงเวลา
- การกระทำผิดกติกาที่ไม่เกี่ยวข้องกับการละเมิด กติกาที่รุนแรง
12. การลงโทษ จะแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
12.1. การตำหนิ ใช้ในกรณีที่ผู้แข่งขันละเมิดกติกาที่ไม่รุนแรงจะได้รับการตำหนิโทษภายในยกนั้น ๆ แต่หากถูกตำหนิครบ 3 ครั้ง จะเปลี่ยนเป็นการเตือนแทน หรือการลงโทษสถานหนัก ซึ่งการตำหนิมีผลใช้บังคับภายในยกเท่านั้น
12.2. การเตือน เป็นการลงโทษที่นักกีฬากระทำผิดสถานหนัก หรือละเมิดกติกาที่รุนแรงตามที่ระบุไว้ หากนักกีฬาถูกเตือนมากกว่า 2 ครั้ง จะถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขันทันที
12.3 การให้ออกจากการแข่งขัน มีหลักตัดสิน ดังนี้
- นักกีฬาชั่งน้ำหนักไม่ผ่านเกณฑ์ก่อนเริ่มการแข่งขัน หรือ ไม่ส่งใบยืนยันน้ำหนักตัวก่อนเข้ารุ่นจัดคู่แข่งขัน
- นักกีฬาไม่มีใบรับรองแพทย์ยืนยันก่อนเริ่มการแข่งขัน
- นักกีฬาได้รับการลงโทษโดยการเตือนมากกว่า 2 ครั้ง
- นักเจตนาละเมิดกติกาอย่างรุนแรง หรือละเมิดกติกาอย่างรุนแรงจนทำให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถทำแข่งขันต่อได้ หรือ ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ไมได้ทำการแข่งขันอีกต่อไป
13. การให้คะแนน สำหรับการแข่งขันจากเทคนิคของการต่อสู้ มีดังนี้
1. กระทำถูกเป้าหมายด้วยการใช้มือ โดยคู่ต่อสู้ไม่ได้ป้องกัน ได้ 1 คะแนน
2. การกระทำถูกเป้าหมายด้วยการใช้เท้า โดยคู่ต่อสู้ไม่ได้ป้องกัน ได้ 2 คะแนน
3. ใช้เทคนิคการทำให้ล้ม มีผลทำให้การล้มสมบูรณ์ ได้ 3 คะแนน
4. หลบหลีก ป้องกันแล้วโต้ตอบในทันทีทันใดนั้นจะให้คะแนน 1 คะแนน แล้วบวกด้วยคะแนนจากการโต้ตอบด้วยการเข้ากระทำตามเทคนิคที่ใช้ คือ ใช้มือจะได้ 1+1 ใช้เท้าหรือขาได้คะแนน 1+2 คะแนน และถ้าโต้ตอบด้วยการกระทำให้คู่ต่อสู้ล้มอย่างสมบูรณ์จะได้คะแนน 1+3
14. ระบบการให้คะแนนการลงโทษ
1. เมื่อผู้แข่งขันได้รับการเตือน ครั้งที่ 1 จะถูกหัก -1 คะแนน
2. เมื่อผู้แข่งขันได้รับการเตือนครั้งที่ 2 จะถูกหัก -2 คะแนน
3. เมื่อผู้แข่งขันได้รับการตำหนิโทษครั้งที่ 1จะถูกหัก -5 คะแนน
4. เมื่อผู้แข่งขันได้รับการตำหนิโทษครั้งที่ 2 จะถูกหัก -10 คะแนน
หลังจากได้รู้ประวัติความเป็นมา กติกาและข้อบังคับต่าง ๆ ของกีฬาปันจักสีลัต ไปแล้ว จะเห็นว่าเป็นกีฬาที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะนอกจากเป็นศิลปะการต่อสู้แล้วยังแฝงไว้ด้วยศิลปะท่าทางการร่ายรำอีกด้วย ซึ่งการเล่นกีฬาทุกประเภทหากเล่นอย่างถูกต้องแล้วจะนำมาซึ่งประโยชน์แก่ผู้เล่นอย่างมาก แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันนั่นก็คือการมีน้ำใจนักกีฬาให้กันและกันด้วย
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Pencak Silat Nusantara Thailand ,seagames2015.com ,triphathara.com
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
- สมาคมกีฬาปันจักสีลัตแห่งประเทศไทย
- triphathara.com
- ceted.org