เปิดคดีสลด เจนนิเฟอร์ แพน หญิงชาวแคนาดาเชื้อสายเวียดนาม จ้างวานคนร้ายฆ่าพ่อแม่บังเกิดเกล้าของตนเอง จากความเก็บกดถูกเลี้ยงในกรอบเข้มงวด
เมื่อเดือนมกราคม 2558 ศาลเมืองนิวมาร์เก็ต รัฐออนแทรีโอ ของแคนาดา มีคำพิจารณาตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต โดยไม่มีสิทธิ์รับการลดหย่อนโทษใด ๆ ใน 25 ปีแรก แก่ เจนนิเฟอร์ แพน วัย 28 ปี ฐานจ้างวานคนร้ายฆ่าพ่อแม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง โดยเหตุเกิดขึ้นเมื่อปี 2553 อันส่งผลให้ผู้เป็นแม่เสียชีวิต และพ่อได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ศีรษะ และต้องกินยาบรรเทาความเจ็บปวดต่อเนื่องไปตลอดชีวิต แรงผลักดันที่ทำให้ลูกสาวคนเดียวของครอบครัว ตัดสินใจจ้างคนมาปลิดชีวิตพ่อแม่ตัวเอง ทั้งซับซ้อนและเลือดเย็นอย่างน่าเหลือเชื่อ และทุกสิ่งเริ่มต้นขึ้นจากเหตุผลประการเดียวเท่านั้น คือความเก็บกดจากการเลี้ยงดูที่เข้มงวดเกินไป
แม้การพิจารณาคดีจะสิ้นสุดไปตั้งแต่เมื่อต้นปีแล้ว แต่รายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นที่เปิดเผยมากนัก จนกระทั่ง คาเรน โฮ เพื่อนสมัยมัธยมของเจนนิเฟอร์ ได้รวบรวมรายละเอียดสิ่งที่เกิดขึ้น นำมาปะติดปะต่อกัน แล้วเขียนเป็นบทความเรื่อง "Jennifer Pans Revenge: the inside story of a golden child, the killers she hired, and the parents she wanted dead" ลงในเว็บไซต์นิตยสารโทรอนโต ไลฟ์ เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา และนี่คือเรื่องราวของ เจนนิเฟอร์ แพน
วัยเด็กของเจนนิเฟอร์ แพน
นายเหวย ห่าน แพน และนางบี๋ ฮา พ่อและแม่ของเจนนิเฟอร์เป็นชาวเวียดนามที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในแคนาดาตั้งแต่ปี 2522 ทั้งคู่แต่งงานกันและลงหลักปักฐานที่เมืองสการ์บะระ รัฐออนแทรีโอ มีลูก 2 คน คือ เจนนิเฟอร์ และเฟลิกซ์ แพน ทั้งคู่ทำมาหากินอย่างแข็งขัน จากการเป็นลูกจ้างในโรงงานชิ้นส่วนยานยนต์ จนกระทั่งสามารถเก็บเงินซื้อบ้านหลังใหญ่ รถอีก 2 คัน และมีเงินเก็บในธนาคารอีกกว่า 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่กระนั้นทั้งคู่ก็ไม่เคยกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่เวียดนามอีกเลย ด้วยเหตุผลว่าต้องการเก็บเงินทุกสตางค์ไว้สำหรับอนาคตของลูก ซึ่งลูกสาวก็ดูไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง เธอได้รับทุนการศึกษา มีมหาวิทยาลัยตอบรับเข้าเรียนก่อนที่เธอจะเรียนไฮสคูลจบ ศึกษาจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยโทรอนโต และเข้าทำงานในแล็บของโรงพยาบาล SickKids ..หากแต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องโกหกที่เจนนิเฟอร์แต่งขึ้นมาหลอกพ่อแม่อย่างแนบเนียนอยู่หลายปี
บิดาของเจนนิเฟอร์ก็เป็นพ่อที่เคร่งครัดตามแบบฉบับชาวเอเชีย ขณะที่แม่ของเธอแม้ไม่เข้มงวดเท่า แต่ก็ไม่สามารถขัดสามีได้ พ่อแม่เจนนิเฟอร์คอยรับ-ส่งลูกสาวที่โรงเรียนทุกเช้า-เย็น นั่งรอลูกสาวเรียนพิเศษ สั่งห้ามไปปาร์ตี้ ห้ามมีแฟนจนกว่าจะจบมหาวิทยาลัย กระทั่งยามลูกสาวขอไปค้างบ้านเพื่อน พ่อกับแม่ของเธอก็จะขับรถไปส่งตอนดึก ๆ แล้วรีบขับมารับแต่เช้ามืด ในวัย 22 ปี เจนนิเฟอร์ไม่เคยได้ไปปาร์ตี้บ้านเพื่อน ไม่เคยกินเหล้าเมา ไม่เคยได้ไปเที่ยวไกล ๆ กับกลุ่มเพื่อนโดยที่ไม่มีพ่อแม่ไปด้วย ซึ่งสร้างความเครียดให้เธอไม่น้อย
พ่อแม่ของเจนนิเฟอร์ตั้งความหวังที่ลูก ๆ เอาไว้สูง อยากให้ลูกเรียนเก่งเป็นที่เชิดหน้าชูตา มีการงานที่ดีทำในอนาคต เจนนิเฟอร์ถูกจับเข้าเรียนเปียโนตั้งแต่ 4 ขวบ และกวดขันเรื่องการเรียนมาก ซึ่งเจนนิเฟอร์ก็ดูจะทำได้ดี ในชั้นประถม เด็กหญิงได้รับรางวัลมากมาย พ่อและแม่ยังกวดขันเธอให้เรียนไอซ์สเกต และหวังไกลให้ลูกสาวเข้าแข่งขันระดับประเทศ บางคืนเจนนิเฟอร์ต้องซ้อมสเกตอยู่ถึง 4 ทุ่ม กลับมาทำการบ้านจนถึงเที่ยงคืนจึงจะได้เข้านอน ความกดดันและเข้มงวดแบบนี้มากเกินเด็กหญิงจะรับไหว เธอเริ่มระบายด้วยการกรีดข้อมือตัวเอง
คาเรน เขียนอธิบายถึงเจนนิเฟอร์ในช่วงมัธยมต้นว่า เป็นเด็กสาวที่สูงกว่าเด็กเอเชียวัยเดียวกันคนอื่น ๆ หน้าตาเธอน่ารัก แต่ก็ไม่โดดเด่น เจนนิเฟอร์ไม่เคยแต่งหน้ามาโรงเรียน ผมของเธอปล่อยยาวธรรมดา ไม่เคยจัดทรงอะไรเป็นพิเศษ แต่กระนั้นเธอก็ยิ้มแย้ม เข้ากับเพื่อน ๆ ได้ง่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่คาเรนได้พบในเวลาต่อมาว่า มันเป็นเพียงบุคลิกที่เจนนิเฟอร์สร้างขึ้นมาเพื่อซ่อนความอับอายและไม่มั่นใจในตัวเองเท่านั้น
เจนนิเฟอร์เป็นเด็กเรียนดีในระดับท็อปของชั้นมาตลอด จนกระทั่งขึ้นเกรด 9 คะแนนของเธอตกลงมาอยู่ที่ระดับ 70% แทบทุกวิชา ยกเว้นวิชาดนตรี เจนนิเฟอร์ตัดสินใจทำใบเกรดปลอมขึ้นมา ด้วยใบเกรด กรรไกร กาว และเครื่องถ่ายเอกสาร หลอกว่าเธอได้เกรด A หมดทุกตัว เจนนิเฟอร์คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะอย่างไรการยื่นคะแนนเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่นับเกรด 9 และ 10 อยู่ดี
เจนนิเฟอร์ แพน และแดเนียล หว่อง แฟนคนแรกและผู้ร่วมวางแผนฆาตกรรม
เจนนิเฟอร์ได้พบกับ แดเนียล หว่อง ขณะเธออยู่เกรด 11 ฝ่ายชายแก่กว่าเธอ 1 ปี แดเนียลเล่นฟรูต เป็นคนสนุกสนาน ยิ้มเก่ง และเขาได้ช่วยเจนนิเฟอร์ไว้ตอนที่เธอโรคหอบกำเริบ ระหว่างวงดนตรีเดินทางไปแข่งขันในยุโรปเมื่อปี 2546 จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มคบหากัน เจนนิเฟอร์ปิดบังเรื่องนี้กับทางบ้าน เพราะรู้แน่ว่าพ่อแม่ของเธอจะต้องไม่อนุญาต
เจนนิเฟอร์ยังคงทำใบเกรดปลอมว่าได้ A ทุกวิชาไปตลอดช่วงมัธยมปลาย แม้ว่าความจริงแล้วส่วนใหญ่เธอจะได้ B กระนั้นเธอก็ยังได้รับการตอบรับเข้าเรียนจากมหาวิทยาลัยไรเออร์สัน แต่ว่าเพราะปีสุดท้ายเธอสอบตกวิชาแคลคูลัส ข้อเสนอนั้นจึงเป็นอันยกเลิกไปด้วย แต่เจนนิเฟอร์ยังคงโกหกกับทางบ้านว่าเธอได้ข้อเสนอเข้าศึกษาโปรแกรมเภสัชวิทยา ของมหาวิทยาลัย T เป็นเวลา 2 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อของเธอคาดหวัง ไม่เพียงเท่านั้น เจนนิเฟอร์ยังโกหกอีกว่าเธอได้รับทุนการศึกษาอีก 3,000 ดอลลาร์ด้วย
เพื่อการโกหกที่แนบเนียน เจนนิเฟอร์ลงทุนซื้อตำราเรียน จัดกระเป๋า ออกจากบ้านทุกเช้าทำเหมือนจะไปมหาวิทยาลัย แต่ที่จริงเธอไปที่ห้องสมุดสาธารณะ ค้นคว้าหัวข้อวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องแล้วลอกมันลงในหนังสือ และใช้เวลาว่างนอกเหนือจากนั้นไปหาแดเนียล ที่มหาวิทยาลัยยอร์ก ทำงานพิเศษเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร เป็นครูสอนเปียโน และทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านอาหารแห่งเดียวกับแดเนียล
พ่อของเจนนิเฟอร์เคยถามเกี่ยวกับเรื่องการเรียน แต่ผู้เป็นแม่คอยปรามว่า อย่าซักไซ้ลูกมาก ให้ลูกเป็นตัวของตัวเองบ้าง
หลังผ่านการแสร้งโกหกเป็นนักเรียนวิชาเภสัชศาสตร์ได้ 2 ปี พ่อของเธอก็ถามไถ่ถึงความคืบหน้า ซึ่งเจนได้สร้างเรื่องต่อไปอีกว่า เธอได้รับการตอบรับเข้าร่วมโปรแกรมเภสัชวิทยาต่อ พ่อแม่ของเธอดีใจและปลาบปลื้มมาก เจนนิเฟอร์ยังขอย้ายไปอยู่กับเพื่อนชื่อ โทปาซ ผู้เป็นแม่ที่เห็นใจเรื่องการเดินทางจึงอนุญาตลูกสาวไป โดยไม่รู้เลยว่าที่จริงแล้วเจนนิเฟอร์ไปอาศัยอยู่กับแดเนียลต่างหาก โดยทางเจนนิเฟอร์เองก็โกหกกับพ่อแม่แดเนียลว่า เธอได้บอกและรับการอนุญาตจากพ่อแม่ของเธอแล้ว
เรื่องการเรียนหลอก ๆ นี้ยังดำเนินไปอย่างแนบเนียนอีก 2 ปี จวบถึงเวลาครบจบการศึกษา ทั้งเจนนิเฟอร์และแดเนียลจ้างคนทำใบทรานสคริปต์ปลอม ทุกวิชามีแต่เกรด A ส่วนเรื่องพิธีรับประกาศนียบัตรจบการศึกษา สาวรายนี้บอกพ่อกับแม่ว่า เนื่องจากนักเรียนมีเยอะมาก มหาวิทยาลัยจึงให้พาญาติไปได้แค่คนเดียว เธอไม่อยากให้พ่อหรือแม่ต้องผิดหวังว่าจะเป็นฝ่ายที่พลาดโอกาสนี้ เลยตัดสินใจให้เพื่อนของเธอไปแทน
ความแตก
หลังหลอกที่บ้านว่าเรียนจบไปแล้ว เจนนิเฟอร์ก็แต่งเรื่องการทำงานขึ้นมาอีก โดยบอกพ่อกับแม่ว่าได้งานเป็นเจ้าหน้าที่แล็บวิเคราะห์เลือดที่โรงพยาบาล SickKids และต้องทำงานกะกลางคืนในวันศุกร์และสุดสัปดาห์ คล้ายจะบอกเป็นนัย ๆ ว่า ตนอาจต้องนอนค้างกับเพื่อนที่ชื่อโทปาซบ่อยกว่าเดิม
แต่หนนี้พ่อของเจนนิเฟอร์เริ่มระแคะระคาย เมื่อสังเกตได้ว่าลูกสาวไม่มีแม้แต่เครื่องแบบหรือบัตรประจำตัวพนักงาน ในเช้าวันต่อมาเขาจึงตัดสินใจขับรถไปส่งเจนนิเฟอร์ถึงที่ทำงาน และยังให้ภรรยาแอบตามลงไปดู ทำให้เจนนิเฟอร์ต้องแอบหลบอยู่ภายในโรงพยาบาลหลายชั่วโมง จนกระทั่งแม่ของเธอกลับไป ความพยายามจับผิดลูกสาวไม่ได้จบลงเท่านี้ เช้าวันรุ่งขึ้นพ่อและแม่ของเจนนิเฟอร์จึงโทรศัพท์ไปหาโทปาซ และทั้งคู่ก็ได้ทราบว่า เจนนิเฟอร์ไม่เคยไปค้างอ้างแรมกับเธอเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดเจนนิเฟอร์ก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริง เธอสารภาพว่า เธอไม่ได้ทำงานที่ SickKids ไม่ได้เรียนที่วิทยาลัยเภสัช และไปอยู่กับแดเนียลตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่ยังคงไม่ได้บอกว่า เธอยังเรียนไม่จบมัธยมปลาย และไม่ได้ข้อเสนอเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยไรเออร์สันด้วย
บทลงโทษ
แม่ของเจนนิเฟอร์ร้องไห้อย่างหนักหลังรู้ความจริง ส่วนพ่อของเธอโมโหแทบเป็นบ้าจนเกือบไล่ลูกสาวออกจากบ้านหากภรรยาไม่เข้ามาห้ามไว้ เจนนิเฟอร์ถูกยึดโทรศัพท์และโน้ตบุ๊ก 2 สัปดาห์ ให้ใช้คอมพิวเตอร์ได้เฉพาะเวลาพ่อแม่อยู่บ้าน ถูกให้ออกจากงานที่ทำทั้งหมดยกเว้นการสอนเปียโน และแน่นอนว่าห้ามติดต่อกับแดเนียลอีกต่อไป ด้านเจนนิเฟอร์เองก็กลับไปเรียนเพื่อให้จบชั้นมัธยมปลาย
แต่เจนนิเฟอร์ที่ยังรักแฟนหนุ่มอย่างมาก ยังแอบโทรศัพท์หาเขาเมื่อมีโอกาส แอบออกไปเจอแดเนียลระหว่างการสอนเปียโน และแอบออกจากบ้านไปในคืนหนึ่งเพื่อหาแดเนียล แต่ก็ถูกจับได้ พ่อแม่เธอยิ่งโมโหและสั่งห้ามพบกันเข้มงวดกว่าเดิม ขณะที่แดเนียลเองก็เริ่มอึดอัดกับการคบหากับเจนนิเฟอร์ ทั้งที่แฟนสาวอายุ 24 ปีแล้ว แต่ไปไหนมาไหนเองไม่ได้ ไม่ชอบพ่อแม่แต่ก็ไม่กล้าออกจากบ้านเอง ในที่สุดแดเนียลจึงขอเลิกกับเธอ ทางด้านเจนนิเฟอร์ซึ่งหัวใจสลาย ยังพบว่าอดีตแฟนหนุ่มกำลังคบหาสาวคนใหม่ เธอจึงสร้างเรื่องว่าตัวเองถูกทำร้าย โดยมีแฟนใหม่คนนั้นเป็นคนบงการ เพื่อให้แดเนียลกลับมาคบกับเธอด้วย
มิลวาเกแนม, คาร์ที, แดเนียล หว่อง และ เจนนิเฟอร์ แพน
วางแผนครั้งแรก ฤดูใบไม้ผลิ 2553
เจนนิเฟอร์ได้พบกับ แอนดรูว์ มอนเทเมเยอร์ เพื่อนเก่าสมัยประถมอีกครั้ง เล่าเรื่องอึดอัดใจระหว่างเธอกับพ่อให้ฟัง ขณะที่แอนดรูว์ก็เล่าว่าเขามีปัญหาเหมือนกัน และเคยคิดจะฆ่าพ่อตัวเองด้วย นั่นกลายเป็นการจุดประกายความคิดฆาตกรรมพ่อของเจนนิเฟอร์ขึ้นมา หญิงสาวจินตนาการว่าชีวิตตัวเองจะดีแค่ไหนถ้าไม่มีพ่อ
ความพยายามในการฆ่าครั้งแรกเกิดขึ้น เมื่อแอนดรูว์แนะนำให้เจนนิเฟอร์รู้จักกับเพื่อนของตน ริคาร์โด ดันแคน เจนนิเฟอร์ตัดสินใจจ้างริคาร์โดให้ฆ่าพ่อของเธอ ด้วยเงิน 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ ที่ได้จากค่าสอนเปียโน โดยวางแผนว่าจะลวงพ่อของเธอไปฆ่าที่ลานจอดรถที่ริคาร์โดทำงานอยู่ และจะนัดแนะกันทางโทรศัพท์อีกที แต่หลังจากนั้นริคาร์โดปิดการติดต่อและเชิดเงินหนีไป (ริคาร์โดให้การในชั้นศาลว่า เขารู้สึกถูกคุกคามและไม่อยากฆ่าคน จึงได้ตัดการติดต่อ และว่าตนได้รับเงินเพียง 200 ดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งได้คืนเจนนิเฟอร์ไปหมดแล้ว)
ลงมือฆาตกรรม คืนต้นเดือนพฤศจิกายน 2553
ในช่วงระหว่างนี้ เจนนิเฟอร์และแดเนียลได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง และเธอได้เล่าเรื่องการวางแผนกำจัดพ่อของตัวเองให้แฟนหนุ่มฟัง ทั้งยังบอกว่าถ้าฆ่าได้สำเร็จเธอจะได้รับเงินประกันชีวิตของพ่อ 500,000 ดอลลาร์ด้วย แดเนียลไม่ได้ห้ามปราม ซ้ำยังแนะนำให้เจนนิเฟอร์รู้จัก "เลนฟอร์ด ครอว์ฟอร์ด" ผู้จะช่วยเธอลงมือได้ แดเนียลยังซื้อไอโฟนพร้อมซิมใหม่ให้เจนนิเฟอร์ใช้เพื่อติดต่อในเรื่องนี้โดยเฉพาะ
หลังการไปดูลาดเลาและติดต่อกันอยู่หลายครั้ง วันลงมือก็มาถึงในคืนวันที่ 2 พฤศจิกายน 2553 ในค่ำวันนั้นพ่อของเจนนิเฟอร์เข้านอนตั้งแต่ 20.30 น. น้องชายเธอยังไม่กลับจากมหาวิทยาลัย ส่วนแม่ที่ออกไปข้างนอก ได้กลับเข้ามาบ้านในเวลาต่อมา
หลังจากได้รับโทรศัพท์จาก "เดวิด มิลวาเกแนม" หนึ่งในกลุ่มผู้ลงมือ เจนนิเฟอร์ลงไปบอกราตรีสวัสดิ์กับแม่ แอบปลดล็อกประตูหน้าบ้าน แล้วส่งสัญญาณให้พวกที่อยู่ข้างนอกทราบด้วยการเปิดและปิดไฟที่ชั้นสอง
เลนฟอร์ด, เดวิด และอีริค คาร์ที บุกเข้าไปในบ้านพร้อมปืนในมือ จี้ตัวนายเหวย ห่าน แพน ออกมาจากห้องนอน คนหนึ่งคุมตัวนางบี๋ ฮา ไว้ ส่วนเจนนิเฟอร์ถูกจับมัดมือไพล่หลังแสร้งจี้เธอลงไปหยิบเงินที่เก็บไว้ในบ้านมาให้ จากนั้นจับเธอไปมัดไว้กับราวบันได นางบี๋ ฮา ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว และยังขอร้องหัวขโมยทั้งสามว่าอย่าทำร้ายลูกสาวของเธอ
คนร้ายทั้งสามใช้ผ้าห่มคลุมตัวพ่อและแม่ของเจนนิเฟอร์ ลากลงไปที่ชั้นใต้ดินของบ้าน และลงมือลั่นไก ผู้เป็นพ่อถูกยิงเข้าที่ใบหน้าและไหล่ ส่วนผู้เป็นแม่ถูกยิงเข้าที่ศีรษะ 3 นัด เสียชีวิตทันที หลังก่อเหตุแล้วคนร้ายก็รีบหลบหนีไป
ด้านเจนนิเฟอร์แก้มัดตัวเองหลุด และโทรแจ้งตำรวจ สวมบทบาทอย่างแนบเนียน ทำเสียงตื่นตระหนก "ไม่รู้พวกมันเอาพ่อแม่ฉันไปไว้ไหน รีบ ๆ มาที ช่วยด้วย"
ทว่าเหตุการณ์กลับไม่เป็นไปตามแผนทั้งหมด เมื่อพ่อของเจนนิเฟอร์ฟื้นขึ้นมาในสภาพโชกเลือด คลานขึ้นมาจากห้องใต้ดินออกไปที่หน้าบ้าน ร้องขอความช่วยเหลือ จนเพื่อนบ้านได้ยินและโทรแจ้ง 911 รีบเข้ามาดูแลเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่และรถพยาบาลมาถึงในอีกไม่กี่อึดใจถัดมา และนายเหวยก็ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลทันที
เจอพิรุธ
ในคืนนั้นเจ้าหน้าที่คุมตัวเจนนิเฟอร์ไปให้การอยู่จนเกือนถึงตีสาม และติดต่อขอปากคำอีกครั้งในอีกสองวันถัดมา แต่การโกหกของเธอยังสร้างช่องโหว่มากเกินไป ทั้งเหตุใดคนร้ายจึงยิงเหยื่อ 2 คน ขณะปล่อยอีกคนหนึ่งปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน, เข้าบ้านไปโดยไม่มีการงัดแงะ, หากรีบหลบหนีจริง คนร้ายน่าจะลักเอารถยนต์ที่จอดไว้หน้าบ้านหนีไป แต่กลับไม่ทำเช่นนั้น ซึ่งผิดวิสัยหัวขโมย ฯลฯ
วันที่ 22 พฤศจิกายน เจนนิเฟอร์เข้าให้ปากคำอีกครั้ง และครั้งนี้เธอก็ยอมคายออกมาว่าเธอเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมจริง โดยบอกว่า ที่จริงเธอจ้างวานคนมาฆ่าตัวเธอเอง แต่แล้วความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพ่อก็ดีขึ้นหลังจากนั้น เธอเลยโทรไปยกเลิกการจ้างวาน แต่เรื่องก็ผิดแผน เมื่อคนที่เธอจ้างวานบุกเข้ามาในบ้าน และฆ่าพ่อแม่ของเธอ แทนที่จะเป็นตัวเธอเอง
เจ้าหน้าที่ตำรวจยังตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ของเธอ และในที่สุดสามารถตามจับมือปืนทั้งสาม รวมทั้งแดเนียล มาได้ ทั้งหมดรวมทั้งเจนนิเฟอร์ ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม, พยายามฆ่า และสมรู้ร่วมคิดเพื่อการฆาตกรรม
แพน ขณะโดนสอบสวน
ตัดสินจำคุก 25 ปี โดยไร้สิทธิ์การลดหย่อนโทษ
การสอบสวนอย่างจริงจังจากศาลเมืองนิวมาร์เก็ต รัฐออนแทรีโอ เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2557 มีการสอบพยานกว่า 50 ปาก พิจารณาเอกสารกว่า 200 ฉบับ และเจนนิเฟอร์ได้รับสารภาพในที่สุดว่า เธอออกปากจ้างวานคนมาสังหารบิดาของตัวเองจริง เมื่อเดือนสิงหาคม 2553 แต่บอกว่าหลังจากนั้น 3 เดือนเธอก็เปลี่ยนใจ
คาเรนยังเขียนว่า ในวันอ่านคำพิจารณาโทษ เจนนิเฟอร์ยังดูเป็นปกติในช่วงก่อนที่ตัวแทนจะอ่านคำพิจารณาจากคณะลูกขุน และระหว่างฟังคำพิจารณาเธอมีท่าทีเฉยเมยไม่แสดงอารมณ์ จนเมื่อการอ่านนั้นเสร็จสิ้นลงและสื่อออกจากห้องพิจารณาคดีไปหมดแล้ว ซึ่งคณะลูกขุนลงความเห็นว่า การฆาตกรรมครั้งนี้ผ่านการคิด พิจารณา ทำอย่างรอบคอบ และวางแผนมาอย่างดี เจนนิเฟอร์ก็ร้องไห้ออกมาและตัวสั่นอย่างหนัก
เจนนิเฟอร์ ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต โดยไม่มีสิทธิ์ได้รับการลดหย่อนโทษใด ๆ ใน 25 ปีแรก เช่นเดียวกับ แดเนียล, ครอว์ฟอร์ด และมิลวาเกแนม ส่วนคาร์ที ถูกเลื่อนการตัดสินไปในปีหน้า เนื่องจากทนายของเขาป่วยในวันอ่านคำพิจารณาโทษ
ความเป็นไปของครอบครัวแพน
นอกจากเจนนิเฟอร์จะได้รับโทษจำคุกตลอดชีพแล้ว ศาลยังสั่งห้ามเธอติดต่อกับพ่อ น้องชาย และญาติคนอื่น ๆ ในครอบครัวอีกต่อไป ซึ่งนี่เป็นคำร้องที่ญาติฝ่ายครอบครัวแพนได้ยื่นต่อร้องขอศาลผ่านทนาย นายเหวย ห่าน แพนย้ายไปอยู่กับญาติ ส่วนเฟลิกซ์ น้องชายเจนนิเฟอร์ หางานทำที่อีสต์ โคสต์ และย้ายไปอยู่ที่นั่น เพื่อหนีความจริงที่ปวดร้าวว่าเคยเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวเขา นายเหวยตัดสินใจขายบ้าน แต่ยังคงไม่มีใครติดต่อขอซื้อ เนื่องจากบ้านที่มีประวัติเช่นนี้ย่อมไม่เป็นที่ต้องการของผู้อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุมชนที่มีชาวจีนอาศัยอยู่เยอะ
พ่อของเจนนิเฟอร์ ซึ่งไม่ได้ไปเข้าร่วมรับฟังการพิจารณาโทษของลูกสาว ยังได้เขียนข้อความในฐานะผู้สูญเสียฝากไปถึงศาลว่า "ในวันที่ผมเสียภรรยาไป ผมก็เสียลูกสาวของผมไปด้วย ผมรู้สึกว่าผมไม่มีครอบครัวอีกต่อไปแล้ว บางคนบอกว่าผมโชคดีที่ยังไม่ตาย แต่เปล่าเลย ผมรู้สึกเหมือนผมตายไปแล้วจริง ๆ" และทิ้งท้ายว่า "ผมหวังว่าแพนจะคิดได้ว่าทำอะไรลงไปกับครอบครัว และกลับตัวเป็นคนดีและซื่อสัตย์ได้ในวันข้างหน้า"
ภาพจาก torontolife.com , jenniferpantrial.wordpress.com
ขอบคุณข้อมูลจาก
- torontolife.com
- washingtonpost.com
- thestar.com
- cbc.ca
**หมายเหตุ แก้ไขข้อมูลล่าสุด
วันที่ 3 สิงหาคม 2558 เวลา 18.42 น.