สตีเวน สตรอง และ อีวาน สตรอง
พ่อ-ลูกนักโบราณคดีชาวออสเตรเลียพบหมู่หินลึกลับ หลังตามรอยจากจดหมายที่เขียนโดยนักหนังสือพิมพ์ บอกเล่าเรื่องราวของหมู่หินลึกลับในออสเตรเลีย ทั้งคู่จึงลงมือตรวจสอบหินในบริเวณนั้นและทำการวิจัย คาดอาจเคยเป็นที่ตั้งของสโตนเฮนจ์อีกแห่งหนึ่งของโลก
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 เว็บไซต์เดลี่เมล เปิดเผยว่า นายสตีเวน และ นายอีวาน สตรอง จากรัฐนิวเซาธ์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ได้ออกเดินทางไกลเป็นระยะทาง 40 กิโลเมตร มายังพื้นที่การเกษตรแห่งหนึ่ง ตามคำบอกเล่าในจดหมายของ เฟรเดอริก สเลเทอร์ นักหนังสือพิมพ์และอดีตประธานสมาคมวิจัยดาราศาสตร์และการศึกษาออสเตรเลีย โดยในจดหมายระบุข้อมูลว่า ที่บริเวณแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของ สโตนเฮนจ์แห่งออสเตรเลีย
โดยในจดหมายที่ถูกเขียนเมื่อราวปี 1930-1940 (ปี 2473-2483) ระบุชัดเจนว่า บริเวณนั้นเป็นพื้นที่การเกษตรของชาวไร่ชาวนาไปแล้ว และเขาเป็นกังวลว่า ก้อนหินอันแสนมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เหล่านั้นอาจถูกทำลายด้วยน้ำมือของเกษตรกรโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวก็เป็นได้
นอกจากนี้ ในจดหมายยังอ้างว่า เคยนำเสนอทฤษฎีสโตนเฮนจ์แห่งออสเตรเลียต่อทางการและสาธารณชนมาแล้ว แต่กลับถูกบีบบังคับให้ล้มเลิกโครงการสำรวจ เพราะเกษตรกรเจ้าของพื้นที่ไม่อนุญาตให้ทำการค้นคว้าในพื้นที่ของพวกเขา
ดังนั้น 2 พ่อ-ลูก นักโบราณคดี จึงได้เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ พวกเขาพบกับทุ่งหญ้าและเนินกว้างใหญ่ไพศาล รวมถึงก้อนหินน้อยใหญ่หลากรูปทรง แต่ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นเหลี่ยมเหมือนถูกเครื่องมือบางชนิดทำให้มีลักษณะเป็นแท่งตรง
นอกจากนี้ พวกเขายังอ้างว่า บริเวณที่เป็นเนินสูง ณ ปัจจุบันนี้ ในอดีตเคยมีแท่งหินขนาดใหญ่ตั้งเป็นวงกลม โดยมีลักษณะคล้ายคลึงกับสถานที่สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาโบราณ และยังอ้างว่า อาจจะเป็นวิหารที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย
เพราะพวกเขาค้นพบหินบางก้อนมีการแกะสลักตัวอักษรเอาไว้ และไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่อาจเป็นภาษาที่เก่าแก่และโบราณที่สุดในโลกก็เป็นได้ เพราะ 2 พ่อ-ลูกอ้างว่า ทุกภาษาบนโลกมีรากฐานมาจากภาษาโบราณในออสเตรเลีย
นอกจากนี้ สตีเวนและอีวานยังประกาศด้วยว่า พวกเขาได้ครอบครองจดหมายเก่าแก่ที่บันทึกเรื่องราวของสโตนเฮนจ์แห่งออสเตรเลียนี้อยู่ถึง 16 ฉบับด้วยกัน
ริชาร์ด แพทเทอร์สัน ผู้ค้นพบจดหมายเกี่ยวกับสโตนเฮนจ์เป็นคนแรกและนำมามอบให้กับ 2 พ่อ-ลูก ได้สร้างภาพจำลอง 3 มิติของสโตนเฮนจ์แห่งนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นการประกอบคำอธิบายต่าง ๆ ที่พวกเขาได้เขียนลงบนเว็บไซต์ Forgotten Origins ที่รวบรวมเอาเรื่องราวต่าง ๆ ทั่วออสเตรเลียมาศึกษาและเผยแพร่ รวมถึงเรื่องสโตนเฮนจ์แห่งนี้ที่พวกเขากำลังทุ่มเทแรงกายแรงใจกันอย่างเต็มที่
ภาพจาก Forgotten Origins
