
ตำรวจจ่อดำเนินคดีแม่ใจยักษ์ตีลูกหัวแตกเลือดอาบ ด้านแม่ยอมรับผิด อ้างเครียดปัญหาครอบครัว-หนี้สิน ยันไม่มีเจตนาทำร้ายถึงชีวิต
จากกรณีที่มีการโพสต์ภาพเด็กชาย วัย 10 ขวบ ถูกแม่ตีด้วยเหล็ก เนื่องจากไม่พอใจที่ลูกชายโดดเรียน จนเด็กชายหลังลาย เลือดอาบ ทำให้ญาติและชาวบ้านสงสารเร่งนำตัวเด็กชายคนดังกล่าวไปรักษาตัวยังโรงพยาบาล ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น [อ่านข่าว : แม่ใจยักษ์คว้าเหล็กตีลูกเลือดอาบ - หลังลายทุกวัน ลงโทษลูกเหตุโดดเรียน]
ล่าสุด วันที่ 23 ธันวาคม 2558 นายกนก ศรีวิชัยนันท์ นายอำเภอศรีสงคราม พร้อมด้วย พ.ต.อ. โชคชัย อินทะนิน ผกก.สภ.ศรีสงคราม อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ได้นำเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้การช่วยเหลือ ด.ช.เอก (นามสมมติ) เด็กชายวัย 10 ขวบคนดังกล่าว พร้อมสอบถามนางนา (นามสมมติ) มารดาของเด็ก ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
โดยนายกนก เล่าว่า นางนายอมรับว่าได้ทำร้ายร่างกาย ด.ช.เอก ผู้เป็นลูกจริง เนื่องจากเครียดเรื่องครอบครัว ภาระหนี้สิน และเรื่องที่ลูกดื้อไม่ยอมไปโรงเรียน ด้วยความโมโหและเครียดเรื่องอื่น ๆ ตนจึงได้ลงโทษลูกด้วยความรุนแรง แต่ขอยืนยันไม่มีเจตนาทำร้ายลูกจนถึงชีวิต

นายกนก กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบเพิ่มเติมไม่พบว่า นางนามีปัญหายาเสพติด หรือติดเหล้า ติดการพนัน จนเป็นสาเหตุให้ก่อเหตุรุนแรง แต่อย่างไรก็ดี ตนจะหารือกับหน่วยงานเกี่ยวข้องมาดูแลช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก
ด้าน พ.ต.อ. โชคชัย อินทะนิน ผกก.สภ.ศรีสงคราม เปิดเผยว่า ได้นำตัวนางนา แม่ของ ด.ช.เอก ไปสอบสวนร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง กรมพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นักจิตวิทยา และผู้นำชุมชนท้องถิ่น เพื่อหาทางแก้ไขปัญหา โดยได้มีการทำบันทึกว่ากล่าวตักเตือนไว้เบื้องต้น เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาภายในครอบครัวซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องให้หลายฝ่ายเข้ามาร่วมกันแก้ไข และหากดำเนินคดีหรือใช้กฎหมายเอาผิดเพียงอย่างเดียว อาจมีผลกระทบตามมาหลายอย่าง ที่สำคัญผู้เป็นแม่ได้ยอมรับในการกระทำของตัวเอง และยืนยันว่าทำไปเพราะเครียด ห่วงลูกชาย
และหลังจากนี้ได้มอบหมายให้ผู้นำชุมชนเข้าไปตรวจสอบดูแลเอาใจใส่ต่อเนื่อง เพื่อลดปัญหาความรุนแรง รวมถึงหาทางช่วยเหลือในเรื่องของสภาพความเป็นอยู่ด้านต่าง ๆ ที่อาจเป็นที่มาของความเครียด และคงให้เด็กอยู่ใช้ชีวิตกับครอบครัวต่อไป พร้อมประสานโรงเรียนให้การดูแลเป็นพิเศษอีกทาง เนื่องจาก ด.ช.เอก เป็นเด็กพิเศษที่มีปัญหาพัฒนาการล่าช้า อย่างไรก็ดี ต้องฝากไปถึงพ่อแม่ผู้ปกครองว่าไม่ควรใช้ความรุนแรงในการลงโทษบุตรหลานของตนแบบนี้อีก
ภาพจาก เฟซบุ๊ก กนกพร แอ๊บแบ้ว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก







