ศาลฟันผู้ว่าฯ กทม. ตั้ง ผอ.สำนักกฎหมาย ชี้ใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ

              ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ถูกศาลปกครองกลางฟันกรณีแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและคดี เมื่อปี 2553 ไม่ชอบ ชี้เป็นการใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ

              วันที่ 4 มกราคม 2559 มีรายงานข่าวกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2558 ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาคดีที่ นายคมน์กฤษณ์ ปานเพ็ชร์ ข้าราชการ กทม. ยื่นฟ้อง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.), คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกข้าราชการ กทม. สามัญ ขึ้นดำรงตำแหน่งระดับ 9 และระดับ 10 และนายกอบชัย พงษ์เสริม ในคดีเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย สืบเนื่องมาจากการคัดเลือกแต่งตั้งให้ข้าราชการดำรงตำแหน่งนิติกร 9 (ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและคดี) ตามคำสั่งกรุงเทพมหานคร ที่ 3770/2553 ลงวันที่ 30 กันยายน 2553

              ทั้งนี้ ศาลปกครองได้วินิจฉัยว่า การแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและคดีของคณะทำงานกลั่นกรองฯ นั้น มีการพิจารณาเพียงประเด็นเดียว คือ พิจารณาจากบุคคลที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองหรือเทียบเท่าเท่านั้น โดยไม่ได้ดูความรู้ความสามารถและความประพฤติของผู้สมัครคัดเลือกด้วย จึงเกิดความไม่เป็นธรรมต่อผู้สมัครคนอื่น อีกทั้งหลักเกณฑ์ที่ใช้ดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรม ดังจะเห็นได้จากที่ขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร (ก.ก.) ได้ประกาศใช้กฎคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2557 ที่มีการกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนแต่ละด้านประกอบด้วยผลงาน ศักยภาพ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรม เป็นสัดส่วน 30 : 50: 10 : 10 ซึ่งก็เพื่อป้องกันการใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ และเพื่อให้การคัดเลือกเกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรม

              ศาลปกครองได้พิจารณาว่า คดีนี้เห็นได้ชัดเจนว่า คณะทำงานกลั่นกรองฯ ไม่ได้นำหลักเกณฑ์ทั้งหมดมาใช้ในการพิจารณา จึงเป็นการใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ ทำให้ผลการคัดเลือกของคณะทำงานกลั่นกรองฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อเสนอแต่งตั้งไปยังปลัด กทม. และผู้ว่าฯ กทม. จึงเป็นการใช้ดุลยพินิจแต่งตั้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย แต่ขณะนี้ได้มีการแต่งตั้งและเลื่อนตำแหน่งผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและคดีผ่านมาแล้วอีก 3 คน ประกอบด้วย

                - นายสมภาคย์ สุขอนันต์
                - นายรักษา สุทิน
                - นายธนูชัย หุ่นนิวัฒน์ ที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวอยู่ในปัจจุบัน

              โดยศาลเห็นว่า บุคคลทั้ง 3 คน ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับคำสั่งการแต่งตั้งที่มิชอบ และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงเห็นสมควรให้เพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งเฉพาะในส่วนของนายกอบชัย พงษ์เสริม โดยให้ดำเนินการคัดเลือกแต่งตั้งใหม่ให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ และให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่คดีถึงที่สุด

              นอกจากนี้ยังมีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า คำพิพากษาของศาลปกครองเรื่องแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและคดีดังกล่าวโดยมิชอบนั้น ถือว่า เป็นคำพิพากษาในคดีแรกที่ศาลปกครองกลางได้พิพากษาเกี่ยวกับกรณีการแต่งตั้งไม่ชอบ ภายหลังจากที่ กทม. ได้มีการประกาศปรับเข้าแท่ง หรือใช้ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการและบุคลากรกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2554 ซึ่งมีคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม หรือ ก.พ.ค. เป็นด่านแรก ในการรับเรื่องวินิจฉัยร้องทุกข์ของข้าราชการ ซึ่งหากผู้ร้องไม่พอใจคำตัดสินของ ก.พ.ค. ก็สามารถฟ้องไปที่ศาลปกครองกลางได้อีก โดยศาลปกครองกลางสูงสุดจะเป็นศาลสุดท้ายที่คำวินิจฉัยถึงที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก