x close

พระมหากษัตริย์ในสมัยรัตนโกสินทร์ 10 รัชสมัยแห่งความร่มเย็นใต้พระบรมโพธิสมภาร



         ร่วมเรียนรู้พระราชประวัติพระมหากษัตริย์สมัยรัตนโกสินทร์ และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี


  
          กรุงรัตนโกสินทร์ หรือที่เราเรียกกันว่ากรุงเทพมหานคร เป็นราชธานีของไทยที่อุดมด้วยความรุ่งเรืองมาตลอดเวลากว่า 240 ปี ภายใต้ร่มพระบารมีของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ที่ทรงเปี่ยมด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถ วันนี้กระปุกดอทคอมขอพาทุกท่านไปเรียนรู้พระราชประวัติพระมหากษัตริย์สมัยรัตนโกสินทร์ แห่งราชวงศ์จักรี เพื่อซาบซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นของทั้ง 10 รัชกาลที่ได้ทรงนำพาประเทศชาติพ้นอุปสรรคและวิกฤตต่าง ๆ มาได้ จนทำให้ประเทศชาติเป็นปึกแผ่นอย่างในทุกวันนี้กันค่ะ

รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช


รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ภาพจาก dreamloveyou / Shutterstock.com

          พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีพระนามเดิมว่า ด้วงหรือทองด้วง เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เป็นพระโอรสของพระอักษรสุนทรศาสตร์ (ทองดี) ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก กับพระอัครชายา (หยก) ในสมัยกรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  ทรงรับราชการในตำแหน่งพระราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา และได้รับการปูนบำเหน็จเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ในปี พ.ศ. 2310 พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ภายหลังเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ในวัน ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 หลังจากทรงปราบจลาจลในกรุงธนบุรีได้สำเร็จ

          ตลอดช่วงรัชสมัยนอกจากจะทรงเป็นองค์ปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีแล้ว พระราชกรณียกิจของพระองค์ยังถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นอย่างแท้จริง ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานีในปี พ.ศ. 2325 และทรงสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามขึ้นในปีเดียวกัน ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในหลาย ๆ ด้าน อาทิ การชำระพระไตรปิฎก และการบูรณะวัดวาอารามต่าง ๆ รวมทั้งนำพาชัยชนะแห่งสงครามเก้าทัพมาสู่สยามอีกด้วย

          พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ประชวรด้วยโรคชรากระทั่งเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2352 ขณะพระชนมพรรษา 73 พรรษา ทรงดำรงสิริราชสมบัติ 28 ปี

รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย


พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ภาพจาก : dreamloveyou / Shutterstock.com

          พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชกับสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี (ฉิม)  พระราชสมภพเมื่อวันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310 ณ นิวาสสถานตำบลอัมพวา สมุทรสงคราม หลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ได้โปรดเกล้าฯ สถาปนาพระองค์เป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร และกรมพระราชวังบวรสถานมงคล และหลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2352

          ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์ได้ทรงทุ่มเทพระวรกายในการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ ทำให้ในช่วงรัชสมัยของพระองค์นั้นถือเป็นยุคทองของวรรณคดีเลยก็ว่าได้ พระองค์ได้พระราชนิพนธ์งานวรรณกรรมและบทละครทรงคุณค่าไว้อย่างมากมาย นอกจากนี้ยังทรงฟื้นฟูประเพณีวิสาขบูชาขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2360 และได้กลายเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน

          พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ด้วยโรคพิษไข้ ขณะพระชนมพรรษา 57 พรรษา รวมระยะเวลาครองสิริราชสมบัติเป็นเวลา 15 ปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2511 องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ได้ยกย่องพระเกียรติคุณพระองค์เป็นบุคคลสำคัญของในอภิลักขิตสมัยครบรอบ 200 ปี

รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว


พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ภาพจาก : dreamloveyou / Shutterstock.com

          พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (หม่อมเจ้าทับ) เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กับเจ้าจอมมารดาเรียม เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2330 ณ พระราชวังเดิม กรุงธนบุรี ทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าทับ และได้รับพระราชทานพิธีโสกันต์เป็นการพิเศษจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชในปี พ.ศ. 2349 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367

          พระราชกรณียกิจส่วนใหญ่ของพระองค์ในช่วงตลอดรัชสมัยคือการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ราษฎร พระองค์ได้ทรงแก้ไขวิธีการเก็บภาษีอากรแบบเดิม และทรงทำสนธิสัญญาเบอร์นีกับประเทศอังกฤษในปี พ.ศ. 2369 ทำให้การค้าขายของประเทศรุดหน้าไปอย่างมาก ทางด้านศาสนา ก็ได้ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์วัดและพระพุทธรูปจำนวนมาก อันทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศาสนาและศิลปกรรมต่าง ๆ มากมาย

          พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 รวมพระชนมพรรษา 64 พรรษา ครองสิริราชสมบัติ 27 ปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โปรดเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญานามพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า พระมหาเจษฎาราชเจ้า ซึ่งแปลว่า พระมหาราชเจ้าผู้มีพระทัยตั้งมั่นในการบำเพ็ญพระราชกิจ

รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ภาพจาก : dreamloveyou / Shutterstock.com

          พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กับสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี มีพระนามเดิมว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎ เมื่อครั้นพระชนมพรรษาได้ 21 พรรษา ได้ออกผนวชตามพระราชประเพณี แต่ผนวชได้เพียง 15 วัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็เสด็จสวรรคต เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงทรงออกผนวชต่อจนกระทั่งรัชกาลที่ 3 เสด็จสวรรคต จึงทรงลาสิกขาและเสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394

          พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ การรักษาเอกราชของชาติ เนื่องจากในช่วงรัชสมัยของพระองค์เป็นช่วงที่ชาติมหาอำนาจตะวันตกโดยเฉพาะ อังกฤษและฝรั่งเศส เข้ามาล่าอาณานิคมในดินแดนแถบนี้ จึงทำให้พระองค์มีพระราชดำริในการเปิดสัมพันธภาพกับประเทศตะวันตกและนำมาสู่การทำสนธิสัญญาเบาว์ริง ในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398

          ไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังได้ทรงวางรากฐานความเจริญก้าวหน้าแบบอารยประเทศมากมาย นอกจากนี้พระองค์ยังทรงมีความสนพระราชหฤทัยในเรื่องวิชาดาราศาสตร์เป็นอย่างมาก โปรดให้สร้างพระที่นั่งภูวดลทัศไนยขึ้นในพระบรมมหาราชวัง อีกทั้งยังทรงสถาปนาระบบเวลามาตรฐานขึ้น และพระราชกรณียกิจที่สำคัญในด้านดาราศาสตร์ก็คือการพยากรณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ซึ่งพระองค์ทรงพยากรณ์ไว้ได้อย่างแม่นยำ

          หลังจากเสด็จฯ กลับจากการทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ประชวรด้วยพระโรคไข้มาลาเรีย และเสด็จสวรรคตในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ขณะพระชนมมายุได้ 64 พรรษา รวมระยะเวลาครองราชย์ทั้งหมด 17 ปี และด้วยพระปรีชาสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ รัฐบาลไทยจึงได้มีมติให้กำหนดวันที่ 18 สิงหาคมของทุกปีเป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ และเทิดพระเกียรติให้พระองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์

          ต่อมาในโอกาสวันพระบรมราชสมภพครบ 200 ปี องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณ ให้พระองค์ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก สาขาการศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา การพัฒนาสังคม และการสื่อสาร ประจำปี พ.ศ. 2546-2547


รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
 ภาพจาก : dreamloveyou / Shutterstock.com

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมพรรษาเพียง 15 พรรษา โดยมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 โดยในช่วง 5 ปีแรกในรัชกาล เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน

          ตลอดรัชกาลของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างยุคเก่าและยุคใหม่ ภัยจากการล่าอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกก็ปรากฏเด่นชัดขึ้น จึงทำให้พระองค์มีพระราชดำริในการปฏิรูปบ้านเมืองในทุก ๆ ด้านเพื่อให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลก พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จประพาสยังต่างประเทศอย่างเป็นทางการ

          ทั้งนี้พระองค์ได้ทรงออกเยี่ยมเยียนราษฎรในท้องถิ่นต่าง ๆ เพื่อรับฟังปัญหาทุกข์สุขของราษฎร และพระราชกรณียกิจที่สำคัญที่สุดที่อยู่ในความทรงจำของอาณาประชาราษฎร์ก็คือ การเลิกทาสและระบบไพร่ อันเป็นประเพณีที่มีมาอย่างช้านาน และมีพระราชดำริให้ริเริ่มจัดการศึกษาในทุกระดับชั้นเพื่อพัฒนาคนทุกหมู่เหล่าให้กลายเป็นกำลังของบ้านเมืองอย่างแท้จริง

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ด้วยพระโรคพระวักกะ (ไต) พิการ เมื่อทรงพระชนมพรรษาได้ 58 พรรษา รวมระยะเวลาสิริราชสมบัติ 42 ปี

          ต่อมาในปี พ.ศ. 2546 องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณเป็นบุคคลสำคัญของโลกในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงอุทิศพระองค์เพื่อความผาสุกประชาราษฎร์ นอกจากนี้รัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันปิยมหาราช เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นของพระองค์

รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว


พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ภาพจาก : dreamloveyou / Shutterstock.com


          พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423 และได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร หลังจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคตในวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2437 ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตในวันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 พระองค์ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 6 ในพระบรมราชจักรีวงศ์

          หลังจากพิธีบรมราชาภิเษก พระองค์มีพระราชดำริที่จะพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ และด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์จึงได้ทรงวางแผนในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ ทั้งในด้านการศึกษา พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติประถมศึกษา และประกาศให้การศึกษาในระดับชั้นประถมเป็นการศึกษาภาคบังคับ และอีกหนึ่งพระราชกรณียกิจที่สำคัญคือ พระองค์มีพระราชดำริให้เปลี่ยนแปลงธงชาติจากเดิมที่มีรูปช้าง เป็นธงไตรรงค์แบบในปัจจุบัน ทรงส่งทหารไปฝึกยังต่างประเทศ และไปร่วมรบในสมรภูมิสงครามโลกครั้งที่ 1 อันเป็นที่มาของการแก้ไขสนธิสัญญาเบาว์ริงในเวลาต่อมา

          นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเห็นว่าประชาชนทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศได้ จึงทรงให้จัดตั้งองค์การลูกเสือและเสือป่าขึ้น อีกทั้งยังส่งเสริมให้มีการจัดตั้งดุสิตธานีขึ้นเพื่อทดลองการปกครองแบบ ประชาธิปไตย และนำผลที่ได้มาปรับใช้ในการบริหารประเทศ ส่วนในด้านเศรษฐกิจ ทรงจัดตั้งคลังออมสินขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้ฝึกการเก็บสะสมทรัพย์ ยกเลิกการพนันบ่อนเบี้ยทุกชนิด และทรงจัดตั้งบริษัทปูนซีเมนต์ไทยขึ้นเพื่อใช้ในการก่อสร้างบ้านเมือง ไม่เพียงเท่านั้นพระองค์ยังทรงพัฒนาด้านการคมนาคม โดยการปรับปรุงและขยายกิจการรถไฟให้ครอบคลุมทั่วประเทศ อีกทั้งพระราชทานนามสกุลเพื่อให้คนไทยมีนามสกุลใช้

          พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตด้วยพระโรคพระโลหิตเป็นพิษในพระอุทร เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง ขณะพระชนมพรรษา 45 พรรษา รวมระยะเวลาครองสิริราชสมบัติ 15 ปี

รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว


พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ภาพจาก : dreamloveyou / Shutterstock.com

          พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 และเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมพรรษาได้ 32 พรรษา ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468

          ในช่วงตลอดรัชสมัย พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจมากมาย ทั้งในด้านการศึกษาและศาสนา ซึ่งในด้านการศึกษาพระองค์ได้ทรงปฏิรูประบบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย และทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์แรกที่เสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตร ส่วนในด้านศาสนา พระองค์ทรงมีพระกระแสรับสั่งให้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับอักษรไทยสมบูรณ์ ที่มีชื่อเรียกว่า "พระไตรปิฎกสยามรัฐ"

          พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายในระบอบการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระองค์ได้มีพระราชดำริที่จะมอบประชาธิปไตยให้กับประชาชน แต่ในช่วงการร่างรัฐธรรมนูญ กลับทรงถูกคัดค้านจากขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคน จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ฉบับแรกของประเทศไทย ในวันที่ 10 ธันวาคม พุทธศักราช 2475

          หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศในแถบยุโรป และประทับที่ประเทศอังกฤษเพื่อทรงเข้ารับการผ่าตัดและรักษาพระเนตร ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่  2 มีนาคม พ.ศ. 2477 รวมเวลาครองราชสมบัติ 9 ปี 3 เดือน 4 วัน และประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษจนสวรรคตเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2484 ขณะพระชนมมายุ 48 พรรษา

รัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
ภาพจาก : dreamloveyou / Shutterstock.com

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร) ทรงเป็นพระโอรสองค์แรกของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) กับหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2468 ณ โรงพยาบาลเมืองไฮเดลแบร์ก ประเทศเยอรมนี และเสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 ขณะพระชนมพรรษาได้ 8 ปี 5 เดือน 11 วัน

          ในช่วงรัชสมัยของพระองค์ อยู่ในช่วงภาวะสงคราม ทั้งสงครามอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา จึงทำให้โดยส่วนใหญ่แล้วพระองค์จะประทับอยู่ในต่างประเทศเพื่อทรงศึกษาเล่าเรียน โดยเสด็จนิวัติกลับประเทศไทยครั้งแรกหลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 ขณะนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมพรรษาเพียง 13 พรรษา และครั้งที่ 2 ในวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2488 โดยในการเสด็จนิวัติประเทศไทยครั้งที่ 2 พระองค์ได้เสด็จฯ ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัฐบาล

          ในช่วงที่พระองค์ประทับอยู่ในประเทศไทย พระองค์ได้เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียนราษฎรในหลายจังหวัด และพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้เสด็จประพาสสำเพ็ง ซึ่งถือเป็นการสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีระหว่างคนไทยและคนจีนหลังจากเกิดความร้าวฉาน

          จนกระทั่งในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ก่อนถึงกำหนดการเสด็จฯ กลับไปศึกษาต่อระดับชั้นปริญญาเอก พระองค์ได้เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืนในที่บรรทม ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 20 ปี 9 เดือน รวมระยะเวลาครองสิริราชสมบัติทั้งสิ้น 12 ปี

รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

          พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (หม่อมสังวาลย์) เสด็จพระราชสมภาพ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบิร์น รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489

          พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงประกอบพระราชกรณียกิจอย่างมากมาย ซึ่งล้วนแต่สร้างคุณอนันต์ให้แก่ราษฎรชาวไทย พระราชทานโครงการในพระราชดำริกว่า 2,000 โครงการ เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรชาวไทย ทรงตรากตรำพระวรกายทรงงานอย่างไม่เคยเหน็ดเหนื่อย แม้ในยามที่ประเทศไทยประสบกับภาวะเศรษฐกิจอย่างหนัก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 พระองค์ก็ได้พระราชทานแนวคิดเรื่อง "เศรษฐกิจพอเพียง" และ "เกษตรทฤษฎีใหม่" เพื่อให้พสกนิกรได้พึ่งพาตนเองและใช้ชีวิตอยู่บนความพอเพียง จนได้รับการยกย่องจากสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) และทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสำเร็จด้านการพัฒนามนุษย์ (UNDP Human Development Lifetime Achievement Award) เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2549
 
          ในด้านพระปรีชาสามารถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเปี่ยมไปด้วยพระอัจฉริยภาพทั้งในด้านดนตรี กีฬา และด้านภาษา พระองค์พระราชนิพนธ์บทเพลงไว้มากกว่า 40 เพลง และพระราชนิพนธ์งานเขียนถึง 18 ชิ้น ในด้านกีฬา พระองค์โปรดกีฬาเรือใบเป็นพิเศษ โดยทรงเป็นตัวแทนของประเทศไทยแข่งเรือใบในกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 9-16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ซึ่งในครั้งนี้พระองค์ทรงชนะเลิศเหรียญทอง โดยทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเหรียญทองจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
 
          พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระอาการประชวร และเสด็จไปประทับ ณ ชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 และเสด็จสวรรคตในวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.52 นาที ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองพระราชสมบัติได้ 70 ปี

 

รัชกาลที่ 10 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว


พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
ภาพจาก : SPhotograph / shutterstock.com

          พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร) เป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 เวลา 17.45 น. ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต และทรงผนวช วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง

          พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยในวิทยาการด้านการทหารมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ หลังจากสิ้นสุดการศึกษาทางด้านการทหารจากประเทศออสเตรเลียแล้ว ยังทรงเข้ารับการฝึกเพิ่มเติมด้วยพระราชวิริยอุตสาหะ เพิ่มพูนความรู้ และพระประสบการณ์ด้านการทหารอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ ทรงผ่านการฝึกอบรมเครื่องบินรบจนมีพระปรีชาสามารถและมีจำนวนชั่วโมงบินสูงมาก รวมทั้งทรงศึกษาหลักสูตรนักบินพาณิชย์ จากสถาบันการบินพลเรือน ทรงสอบได้ใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรี และทรงเข้าศึกษาหลักสูตรนักบินพาณิชย์เอก จากบริษัท การบินไทย และทรงสำเร็จการศึกษาและการบินด้วยเครื่องบินพาณิชย์จริง ทรงได้รับใบอนุญาตเป็นกัปตันเครื่องบินโบอิ้ง 737 พระองค์ทรงมีพระปรีชาชาญด้านการบิน รอบรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ จนได้รับพระนามให้เป็น "เจ้าฟ้านักบิน" นอกจากนี้ พระองค์ทรงมีพระราชกรณียกิจด้านอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ ด้านสังคม การศึกษา การเกษตรกรรม ศาสนา การแพทย์และสาธารณสุข กีฬา เป็นต้น และยังมีโครงการในพระราชดำริมากมาย 

          สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นทรงราชย์เป็น
พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จสวรรคต และได้ทรงแต่งตั้งเป็นพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 โดยมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่ 4 พฤษภาคม 2562


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
พระมหากษัตริย์ในสมัยรัตนโกสินทร์ 10 รัชสมัยแห่งความร่มเย็นใต้พระบรมโพธิสมภาร อัปเดตล่าสุด 19 เมษายน 2567 เวลา 13:57:34 469,297 อ่าน
TOP