x close

10 สถานที่ต้องห้ามทั่วโลก ที่คุณไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้


          เปิดรายชื่อ 10 สถานที่ต้องห้ามทั่วโลก ที่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวย่างกรายเข้าไปใกล้ เต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อน และมีอันตรายถึงชีวิต

          การท่องเที่ยวไปทั่วโลกถือเป็นงานอดิเรกที่น่าสนุกและตื่นเต้น และทุกวันนี้การท่องเที่ยวนั้นเต็มไปด้วยความสะดวกสบายมากขึ้น เราสามารถไปที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ ตั้งแต่ป่าร้อนชื้นทางตอนใต้ หรือจะเป็นแผ่นดินน้ำแข็งที่ด้านเหนือสุดของโลกก็ตาม

          แต่รู้ไหมว่ายังมีสถานที่ลึกลับบนโลกอีกมาก ที่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ เข้าไปสัมผัสบรรยากาศภายใน ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรก็ตามที อาจเป็นเพราะสถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยอันตราย หรือไม่ก็อาจจะกุมความลับระดับชาติบางอย่างเอาไว้ก็เป็นได้

          และวันนี้ กระปุกดอทคอมจะขอพาทุกท่านไปรู้จักกับ 10 สถานที่ต้องห้ามทั่วโลก ที่ไม่ยินดีต้อนรับใครทั้งสิ้น ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ the richest รู้แล้วก็อย่าได้เผลอย่างเท้าเข้าไปเชียวล่ะ เตือนแล้วนะ..
1. ถ้ำลัสโก ประเทศฝรั่งเศส (Lascaux Caves)


          ถ้ำลัสโก เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เชื่อว่าเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์โบราณยุคหิน บนผนังถ้ำมีงานเขียนเป็นภาพวาดรูปมนุษย์ สัตว์ รูปร่างต่าง ๆ และการพิมพ์รอยมือ ที่มีอายุอย่างต่ำประมาณ 15,000 ปีก่อนคริสตกาล ถ้ำลัสโกถูกเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว จนกระทั่งเมื่อปี 1963 ทางเจ้าหน้าที่สังเกตเห็นว่าภาพเขียนบนผนังเริ่มจางหาย ทั้งนี้เป็นเพราะนักท่องเที่ยวมือบอนบางรายนั่นเอง ทางการจึงสั่งปิดถ้ำแห่งนี้เป็นการถาวร ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาเหยียบด้านในได้อีก นอกจากบางคนที่ได้รับการยกเว้น รวมถึงรายการที่มาถ่ายทำสารคดีต่าง ๆ

2. เกาะงูคลั่ง ประเทศบราซิล (Ilha da Queimada Grande)


          อิลยาดาเกย์ มาดากรังจี หรือเกาะงูคลั่ง เป็นเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่นอกชายฝั่งรัฐเซาเปาลู ประเทศบราซิล ที่ได้ชื่อว่า เกาะงูคลั่ง เพราะเป็นเกาะที่มีงูพิษร้ายแรงจำนวนมากอาศัยอยู่ คุณสามารถพบงู 1 ตัวได้ในทุก ๆ พื้นที่ 1 ตารางเมตรบนเกาะ โดยเฉพาะงูพิษชนิดหนึ่งชื่อ โกลเดนแลนซ์เฮด (golden lancehead) เป็นงูพิษที่มีความรุนแรงมากกว่างูพิษบนแผ่นดินใหญ่ถึงห้าเท่า และจัดว่าเป็นงูถิ่นเดียวที่มีถิ่นอาศัยอยู่บนเกาะเท่านั้น ดังนั้น ทางรัฐบาลบราซิลจึงประกาศให้เกาะแห่งนี้เป็นพื้นที่หวงห้าม ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกเด็ดขาด ยกเว้นแต่นักวิทยาศาสตร์ที่นาน ๆ ครั้งจะไปเยือนเกาะ เพื่อสำรวจเกี่ยวกับเรื่องชีววิทยา

3. เมานท์ เวเทอร์ สหรัฐอเมริกา (Mount Weather)


          สุดยอดฐานที่มั่นลับของกองทัพอเมริกัน ลึกลงไปใต้ดินนั้นเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย สำหรับให้เจ้าหน้าที่กว่า 1,000 นายปฏิบัติงานในกองบัญชาการทางยุทธศาสตร์ โดยอาศัยอยู่กินและนอนได้เป็นแรมปีโดยไม่ต้องโผล่มาเหนือพื้นดิน ทั้งนี้ กองบัญชาการดังกล่าวถูกตั้งขึ้นมาภายใต้แนวคิดที่ว่า หากเกิดสงคราม ภัยพิบัติ หรือเหตุฉุกเฉินใด ๆ ขึ้นบนโลก หน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่ และข้อมูลสำคัญของประเทศ ก็จะยังคงอยู่ตลอดกาลในกองบัญชาการแห่งนี้ แน่นอนว่าสถานที่อย่างนี้ ไม่อนุญาตให้ประชาชนคนธรรมดาเข้าไปย่างกรายอย่างเด็ดขาด

4. หอจดหมายเหตุลับของวาติกัน นครวาติกัน (Vatican Secret Archives)


          หอจดหมายเหตุแห่งนี้ตั้งอยู่ในห้องใต้ดินของหอสมุดวาติกัน เป็นศูนย์กลางที่เก็บข้อมูลเอกสารสำคัญ ทั้งแบบเปิดและปกปิดหลายชิ้น ถึงแม้สถานที่แห่งนี้ จะมีคำว่า “ลับ” อยู่ด้วย แต่เอกสารที่ถูกเก็บอยู่ภายในนั้นไม่ได้เป็นความลับเสมอไป เพียงแต่มันถูกเก็บอยู่ในสถานที่ที่เป็นส่วนตัวเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว และไม่อนุญาตให้ใครก็ตามเข้ามาเปิดอ่านได้เหมือนหนังสือในห้องสมุด เพราะเกรงว่าเอกสารเก่าแก่อาจถูกทำลายหรือถูกขโมยได้

5. เกาะเซนติเนลเหนือ ประเทศอินเดีย (North Sentinel Island)



          เกาะเซนติเนลเหนือ เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในอ่าวเบงกอล มหาสมุทรอินเดีย มีความสวยงามตามธรรมชาติที่น่าทึ่ง แต่น่าเสียดายที่รัฐบาลอินเดียประกาศห้ามมิให้ใครก็ตามเข้าใกล้เกาะแห่งนี้ ในระยะ 5 กิโลเมตรจากตัวเกาะ เพราะมีชนเผ่าหนึ่งบนเกาะที่พร้อมจะคร่าทุกชีวิต ที่บังอาจย่างกรายเข้ามาใกล้เกาะซึ่งพวกเขาหวงแหน ทำให้ทางการมีข้อมูลเกี่ยวกับชนเผ่านี้น้อยมาก แต่คาดว่าน่าจะมีประชากรอยู่ราว 500 คน

6. แอเรีย 51 สหรัฐอเมริกา (Area 51)



          แอเรีย 51 เป็นชื่อเรียกฐานทัพของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ตั้งอยู่ในทะเลทรายทางตอนใต้ของรัฐเนวาดา อันที่จริงก็น่าจะเหมือนกับฐานทัพอากาศทั่วไป แต่ด้วยความเข้มงวดและลึกลับของมัน ที่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้หรือแวะเวียนเยี่ยมชม ทำให้หลายคนตีความไปต่าง ๆ นานาว่า สถานที่แห่งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทฤษฎีสมคบคิดต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องความลับเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวและยูเอฟโอ

7. วิหารหีบแห่งพันธสัญญา ประเทศเอธิโอเปีย (The Chapel of the Ark of the Covenant)


          วิหารหีบแห่งพันธสัญญา เป็นอาคารหลังเล็ก ๆ ในประเทศเอธิโอเปีย เล่ากันว่าภายในนั้นเป็นที่เก็บหีบแห่งพันธสัญญา ที่บรรจุแผ่นศิลาจารึกบัญญัติ 10 ประการ โถใส่มานา และไม้เท้าของอาโรนที่ออกดอกตูม ไม่เคยมีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวิหารแห่งนี้ ยกเว้นพระรูปหนึ่งที่ได้เข้าไป และอาศัยอยู่ภายในนั้นตลอดทั้งชีวิตเพื่อปกปักษ์รักษาหีบแห่งพันธสัญญาให้ปลอดภัย ทั้งนี้เคยมีมนุษย์ผู้โชคดีบางรายได้เข้าไปในอาคารเมื่อปี 2011 เพื่อซ่อมแซมหลังคารั่ว

8. เมโทร-2 ประเทศรัสเซีย (Moscow Metro-2)


          เมโทร-2 เป็นชื่อเรียกสายรถไฟฟ้าใต้ดินลับในกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ซึ่งทางการรัสเซียปฏิเสธการมีอยู่ของมัน แต่จากข้อมูลอันน้อยนิดพบว่า เมโทร-2 ถูกสร้างขึ้นในสมัยของสตาลิน และเชื่อกันว่ามันประกอบด้วยอุโมงค์ลับยิบย่อยมากมายที่เชื่อมต่อระหว่างอาคารสำคัญของประเทศ และหลายคนก็แน่ใจว่ามันกุมความลับระดับชาติเอาไว้มากมาย นอกจากนี้ยังมีข่าวลือเพี้ยน ๆ อีกเพียบ อย่างเช่น การทดลองทางพันธุวิศวกรรม มีการตัดต่อยีนสัตว์ต่าง ๆ จนกลายเป็นสัตว์ประหลาดและนำมาทิ้งไว้ในเมโทร-2 หรือแม้แต่ข่าวลือที่ว่า มีการนำศพซึ่งถูกแช่แข็งของสตาลินมาเก็บไว้ที่นี่ด้วย

9. ห้องนิรภัยลับของคริสตจักรมอร์มอน สหรัฐอเมริกา (Mormon Church Secret Vault)



          คริสตจักรมอร์มอน หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ ศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย (The Church of Jesus Christ of Latter-day Saints) เป็นกลุ่มศาสนิกชนที่มีประวัติยาวนาน และด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงมีหนังสือจดหมายเหตุ รวมถึงม้วนไมโครฟิล์มที่บรรจุข้อมูลมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1930 และเพื่อที่จะให้ข้อมูลเหล่านี้คงอยู่ไปตลอดกาล คริสตจักรมอร์มอนจึงต้องเฟ้นหาสถานที่สำหรับเก็บข้อมูลที่ดีที่สุด พวกเขาเลือกที่จะสร้างห้องนิรภัยลับในภูเขาหินแกรนิตชื่อ Little Cottonwood Canyon ในรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา และไม่อนุญาตให้ประชาชนคนธรรมดาเข้าใกล้ห้องนิรภัยนี้โดยเด็ดขาด ว่ากันว่าในปัจจุบัน มีม้วนไมโครฟิล์มที่เก็บข้อมูลมากกว่า 100,000 ชิ้น และที่เป็นหน้ากระดาษอีกมากกว่า 100,000 แผ่น

10. เกาะซึร์ทเซย์ ประเทศไอซ์แลนด์ (Surtsey)

          เป็นเกาะภูเขาไฟที่ก่อตัวขึ้นจากการปะทุของภูเขาไฟใต้ทะเล ที่ใช้เวลาปะทุนานถึงเกือบ 5 ปี ตอนนี้มันตั้งตระหง่านอยู่ที่กลางมหาสมุทรใกล้กับประเทศไอซ์แลนด์ แต่สหประชาชาติมีมติว่า ไม่อนุญาตให้ใครก็ตามเดินทางไปท่องเที่ยวที่เกาะแห่งนี้โดยเด็ดขาด ยกเว้นแต่นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยบางรายที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับความก้าวหน้าและวิวัฒนาการทางนิเวศวิทยา โดยปราศจากการแทรกแซงของมนุษย์ ด้วยความที่ลาวาจากการระเบิดภูเขาไฟนั้นเอง ทำให้ทัศนียภาพบนเกาะสวยงามแปลกตาอย่างมาก และในขณะเดียวกันก็เป็นอันตรายสำหรับคนที่จะมาเกาะนี้ เพราะทุกวันนี้ยังมีขี้เถ้าลอยปลิวว่อนอยู่


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
10 สถานที่ต้องห้ามทั่วโลก ที่คุณไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้ อัปเดตล่าสุด 14 ธันวาคม 2562 เวลา 17:30:25 188,265 อ่าน
TOP