สืบเนื่องจากเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2559 ได้มีกรณีของอัยการหญิงรายหนึ่ง ซึ่งใช้ชื่อเฟซบุ๊ก หมวย สังหาร ได้ออกมาโพสต์เล่าประสบการณ์ ภายหลังถูกบริษัทประกันเสนอขายประกัน โดยทางพนักงานอ้างว่าทุกคนที่มีบัตรเครดิตของธนาคารแห่งหนึ่ง จะต้องมีประกันตัวนี้ แถมทางบริษัทประกันบอกเลขบัตรเครดิตของเธอถูกต้องด้วย ซึ่งแม้ว่าเธอจะบอกว่าไม่เอา แต่ต่อมาทางบริษัทได้ตัดเงินเธอไป 2,950 บาท ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตกลงกันว่าจะไม่มีการตัดบัตร และเมื่อเธอติดต่อไปทางบริษัทประกันก็ปัดความรับผิดชอบ นำไปสู่การเอาคืนที่เจ็บแสบ
ล่าสุด (15 กุมภาพันธ์ 2560) ผู้สื่อข่าวพบว่าผู้ใช้เฟซบุ๊ก หมวย สังหาร ได้เข้ามาอัพเดทเรื่องราวการต่อสู้ของเธอต่อผ่านเฟซบุ๊ก Rachaall โดยระบุว่า หลังจากเชือดตัวโบรกเกอร์แล้ว ทางบริษัทก็ได้นำกรรมการบริษัทและทีมผู้ขายประกันเข้ามาขอโทษเธอ รวมถึงทางธนาคารเจ้าของบัตรได้เรียกประชุมผู้บริหารเตรียมตอบคำถามเป็นลายลักษณ์อักษร กรณีเอาข้อมูลไปเปิดเผย และให้ผู้อื่นตัดบัตรโดยเจ้าของไม่ยินยอม อย่างไรก็ตามทางธนาคารกลับโทร. ติดต่อเธอมา และโบ้ยความผิดทั้งหมดให้บริษัทประกัน เธอจึงยื่นคำขาดว่าหากยังโยนเรื่องให้ชาวบ้านเช่นนี้ เรื่องจะถึงทางธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างแน่นอน
สำหรับในส่วนของบริษัทประกันนั้น ทางตัวแทนบริษัทได้นำทีมเข้ามาขอโทษเธอแล้ว และชี้แจงว่ามีคนของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด 3 คน คือ เด็กที่โทร. มาบังคับขายประกัน หัวหน้าของเด็กคนนี้ และเจ้าของใบอนุญาตที่ถูกเด็กนำมาอ้างชื่อ ซึ่งทางบริษัทได้ไล่ทั้ง 3 คนออกทันที นอกจากนี้ทาง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ก็ได้ถอนใบอนุญาตของตัวหัวหน้าเด็กและเจ้าของใบอนุญาต รวมถึงจะมีบทลงโทษต่อทางบริษัทต่อไป อย่างไรก็ตามแม้จะมีการดำเนินการส่วนนี้แล้ว แต่คดีความทางอาญานั้นไม่สามารถยอมความได้ ซึ่งก็อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ
ในส่วนของธนาคารนั้น เมื่อเธอโทร. ไปสอบถามว่าดำเนินการถึงไหน ซึ่งทางธนาคารแจ้งเพียงกำลังดำเนินการ แต่ไม่สามารถออกหนังสือหลักฐานได้ว่ากำลังทำอะไร เธอจึงยื่นคำขาดว่าหากพ้นเดือนมกราคม 2560 ไป แล้วยังไม่มีหลักฐานว่าดำเนินการอะไรไปแล้ว เธอจะยื่นฟ้องทันที !!
จนกระทั่งวันที่ 18 มกราคม เธอได้สรุปความคืบหน้าของปฏิบัติการทวงสิทธิของผู้บริโภค กรณีประกันกับธนาคารตัดเงินเราโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนี้
สำหรับคนที่สงสัยว่าทางบริษัทประกันและบริษัทอื่น ๆ นำข้อมูลส่วนตัวของเรามาจากไหนนั้น ขอตอบว่า ธนาคารทุกธนาคาร จะมีข้อมูลทั้งชื่อสกุล ที่อยู่ จำนวนเงิน บัตรเครดิต วงเงินในบัตรเครดิตของลูกค้าอยู่ ซึ่งข้อมูลพวกนี้พนักงานธนาคารในระดับสูงสามารถดึงออกมาใช้ได้ทุกเวลา และหากเราเซ็นสัญญายินยอมให้เผยความลับ ทางธนาคารมีสิทธิ์เผยข้อมูลชื่อ สกุล และเบอร์โทรศัพท์ของลูกค้า แก่บริษัทพันธมิตรได้
อย่างไรก็ตามยังมีกระบวนการขายความลับเกิดขึ้น โดยจะขายกระดาษที่มีข้อมูล ชื่อสกุล ที่อยู่ เบอร์โทร. จำนวนเงิน และวงเงินของเรา ในราคา 15-50 บาท แก่ทางบริษัทโบรกเกอร์และประกัน โดยผู้ที่มีอำนาจสูงสุด ก่อนนำไปขายต่อให้พนักงานตัวเล็ก ๆ ในบริษัท นำไปสู่การโทร. ติดต่อ
ขณะที่ต่อมา วันที่ 14 กุมภาพันธ์ คุณหมวย สังหาร ได้เผยความคืบหน้าภายหลังได้ยื่นเรื่องถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อหวังจะยุติกลโกงที่เกิดขึ้น โดยชี้ว่า หลังจากที่เธอยื่นเรื่องกรณีการตัดบัตรเครดิตโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของบัตรไปนาน 2 สัปดาห์ ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับใด ๆ เมื่อโทร. หา 1213 ก็ได้รับแจ้งว่า ธปท. มีบันทึกเรื่องไว้แล้ว แต่เมื่อถามถึงการดำเนินการ เจ้าหน้าที่กลับพยายามโยนเรื่องให้เป็นของธนาคาร แล้วย้ำว่าหากทางธนาคารและร้านค้าทำตามเงื่อนไขก็ไม่ผิด ทาง ธปท. ไม่สามารถลงโทษธนาคารได้
และเมื่อเธอแจ้งว่า ทุกวันนี้มีประชาชนร้องเรียนเป็นแสน เรื่องถูกตัดบัตรเครดิตแต่ไม่สามารถเอาเงินคืนได้ ทาง ธปท. กลับชี้ว่าต้องให้คนเหล่านี้ร้องต่อ คปภ. และ ธปท. กันเอง
ทั้งนี้เธอได้ถามว่าทาง ธปท. จะมีการเปลี่ยนกฎระเบียบให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนบ้างหรือไม่ เจ้าหน้าที่เพียงรับปากว่าจะติดตามให้และจะติดต่อกลับมา
อย่างไรก็ตามจากนั้นทาง ธปท. ได้ติดต่อกลับมาว่าไม่ได้มีเรื่องร้องเรียนทางเมล และให้เธอส่งเรื่องร้องเรียนไปใหม่รวม 3 รอบ อย่างไรก็ตามทุกอย่างนั้นสายไปแล้ว เพราะเธอได้โทร. เข้า 1111 ต่อ 2 อันเป็นศูนย์รับเรื่องร้องเรียน คสช. ที่ทุกเรื่องจะถูกรายงานถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยแจ้งว่าเธอประสงค์ให้นายกรัฐมนตรี ดำเนินการแก้ไขที่ ธปท. 3 ประเด็น คือ
1. ให้มีการออกกฎระเบียบทุกธนาคาร ป้องกันการนำข้อมูลลูกค้าไปเปิดเผยอย่างเด็ดขาด
2. ออกกฎระเบียบ ให้ทุกธนาคารก่อนตัดบัตรเครดิต ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของบัตรไม่ว่ากรณีใด ๆ
3. เนื่องจาก เจ้าหน้าที่ ธปท. เงินเดือนมหาศาล แต่ทำงานแบบขอไปที ปัดภาระให้ประชาชนทั้งหมด ออกกฎการร้องเรียนแบบเข้าข้างกันเอง จึงอยากให้มีการจัดการเรื่องนี้ด้วย
ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Rachaall, Claudio Divizia/Shutterstock