
ดีเอสไอ แจงปมล้อมวัดพระธรรมกาย เพื่อตามจับกุมตัว พระธัมมชโย แต่ใช้กฎหมายปกติแล้วโดนขวาง จึงต้องมี มาตรา 44 มาช่วย ยันยึดหลักสิทธิมนุษยชนเสมอ
กรณีที่เจ้าหน้าที่ตามหาตัว พระธัมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย นั้น เป็นคดีที่ยืดเยื้อมายาวนาน และแม้ล่าสุดทางรัฐบาลจะออก มาตรา 44 ให้พื้นที่วัดได้รับการควบคุมพิเศษ แต่การดำเนินการตรวจค้นก็ยังไม่สามารถทำได้เต็มที่ และมักถูกขัดขวางอยู่เสมอ
จากเรื่องดังกล่าวนั้น รวมถึงคดีพิเศษที่ 27/2559 ซึ่งมีผู้ต้องหา 5 คน ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน หนึ่งในนั้นคือ พระไชยบูลย์ สุทธิผล (พระธัมมชโย) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ซึ่งมีความคลุกคลีกับ นายศุภชัย ที่เป็นมัคนายกวัดมากว่า 15 ปี รวมถึง ศศิธร โชคประสิทธิ์ ผู้ต้องหาในคดีนี้ที่หลบหนี
ทั้งนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ออกหมายเรียก พระธัมมชโย ให้มารับทราบข้อกล่าวหา แต่ก็ไม่มาทั้งสองครั้ง โดยอ้างว่าติดศาสนกิจและอาพาธ โดยครั้งที่ 3 ทางดีเอสไอพบว่า พระธัมมชโย ไม่ได้อาพาธจริง จึงเสนอศาลออกหมายจับ และทางทนายความได้ติดต่อให้เข้ามอบตัว แต่พระธัมมชโยก็ไม่ได้มามอบตัวตามหมายจับ
จากนั้น ทางอัยการจึงได้สั่งฟ้องพระธัมมชโย และมอบหมายให้ดีเอสไอนำตัวมาส่งศาล โดยมีการออกหมายค้นไปที่วัด แต่กลับถูกพระและลูกศิษย์การขัดขวางตลอดทั้ง 2 ครั้ง ทำให้ดีเอสไอเห็นว่าคดีนี้ไม่สามารถใช้กฎหมายปกติเข้าจัดการได้ จึงเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้มีการใช้กฎหมายพิเศษควบคุมพื้นที่วัดพระธรรมกาย ซึ่งนั่นก็คือ มาตรา 44 ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 แต่ก็พบว่ายังถูกขัดขวางอยู่ดี และยังถูกปลุกปั่นจากผู้ไม่หวังดีที่บิดเบือนจุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าหน้าที่ในคดีนี้
อย่างไรก็ดี ดีเอสไอ ยืนยันว่า การดำเนินการทุกครั้งมีการสนธิกำลัง และบูรณาการกับหลายหน่วยงานตามกระบวนการยุติธรรม ภายใต้หลักสิทธิมนุษยชน เป็นธรรม และไม่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และยังเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาตรวจสอบว่าการทำงานนั้นเป็นไปด้วยความถูกต้องเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย ปราศจากอาวุธ และดำเนินการแบบเบาไปหาหนักอย่างแท้จริง




ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก DSI กรมสอบสวนคดีพิเศษ






