อินโดฯ ฟ้อง ปตท. 7 หมื่นล้าน เหตุน้ำมันรั่วไหลลงทะเลติมอร์ ทำธรรมชาติเสียหาย

PTTEP AUSTRALASIA / AFP

รัฐบาลอินโดนีเซียฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 7 หมื่นล้านบาท จากบริษัทลูกของ ปตท. ในออสเตรเลีย จากกรณีแท่นขุดเจาะน้ำมันรั่วไหลในปี 2552 ซึ่งทำลายสภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอินโดนีเซียไปมหาศาล

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2560 สำนักข่าวแชนเนลนิวส์เอเชีย รายงานว่า นายอารีฟ ฮาวาส โอเอโกรเซโน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการทางทะเลของประเทศอินโดนีเซีย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแขวงกรุงจาการ์ต้า เพื่อฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 27.4 ล้านล้านรูเปีย หรือกว่า 7.13 หมื่นล้านบาท จากบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัดมหาชน (ปตท.สผ) และบริษัทพีทีทีอีพี ออสตราเลเชีย (PTTEP Australasia) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ปตท.สผ จากกรณีแท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัทเกิดการรั่วไหล ส่งผลให้ทรัพยากรธรรมชาติ และแหล่งน้ำของอินโดนีเซียได้รับความเสียหาย

ANNABELLE SANDES / AFP

การรั่วไหลดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากแท่นขุดเจาะน้ำมันมอนทาราของ PTTEP Australasia ที่ตั้งอยู่ในนอกชายฝั่งทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลียเกิดระเบิดขึ้นในเดือนสิงหาคม ปี 2552 น้ำมันดิบปริมาณหลายพันบาร์เรลไหลทะลักออกมาอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลาเกือบ 10 สัปดาห์ นับเป็นหายนะทางแท่นขุดเจาะน้ำมันในทะเลที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย

ก่อนหน้านี้ในเดือนสิงหาคมปี 2559 เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสาหร่ายชาวอินโดนีเซียจำนวนกว่า 13,000 คน ได้รวมตัวฟ้องร้อง PTTEP Australasia ซึ่งมีที่ทำการตั้งอยู่กรุงซิดนีย์ เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจำนวนกว่า 200 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือกว่า 5.14 หมื่นล้านบาท เพื่อเป็นค่าเสียหายจากคราบน้ำมันทำลายอาชีพและความเป็นอยู่ของพวกเขา

นายโอเอโกรเซโน เปิดเผยว่า คราบน้ำมันที่รั่วไหลได้ทำลายสภาพแวดล้อมทางทะเลของอินโดนีเซียไปอย่างมหาศาล ตั้งแต่แนวปะการังใต้ทะเล หญ้าทะเล ไปจนถึงแนวป่าชายเลน โดยตลอดช่วงเวลาหลายปีที่มาผ่าน รัฐบาลอินโดนีเซียพยายามติดต่อกับ ปตท. เพื่อเจรจาหาทางแก้ไขปัญหามาแล้วหลายครั้ง นอกจากนี้ ปตท. ก็ไม่ได้มาร่วมลงนามในข้อตกลงเมื่อช่วงปลายปี 2555 อีกด้วย นายโอเอโกรเซโนกล่าวว่า มันเป็นสัญญานที่แสดงให้เห็นว่า ปตท. ไม่ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้นอกจากฟ้องเรียกค่าเสียหายแล้วนั้น รัฐบาลอินโดนีก็ได้เซียมีแผนว่าจะทำการอายัดทรัพย์สินของ ปตท. ที่อยู่ในอินโดนีเซียอีกด้วย อย่างไรก็ตามทาง ปตท. ยังคงไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นใดใดกับเรื่องนี้