
พบเหยื่อน้ำมนต์ เพิ่มอีก 3 ราย พบโดนเชิดสินสอด 1 ราย ส่วนอีก 2 ราย เป็นหญิงสาวที่ถูกหลอกว่าจะฝากงานให้ ต้องจ่ายคนละ 1.3 แสน
วันที่ 11 กันยายน 2560 มีรายงานว่า นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และทนายความ ได้พานาย ปรเมศร์ นะโส อายุ 36 ปี ผู้เสียหายที่ถูก น.ส.จริยาภรณ์ หรือ น้ำมนต์ บัวใหญ่ อายุ 32 ปี หลอกแต่งงานและเชิดเงินค่าสินสอด เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ. สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบก.ป. และพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อให้ปากคำกรณีดังกล่าว พร้อมกับนำเอกสารที่เกี่ยวข้องมามอบไว้เป็นหลักฐาน

ทั้งนี้ นายปรเมศร์ กล่าวว่า ตนรู้จักกับ น.ส.จริยาภรณ์ ผ่านทางเฟซบุ๊ก และพูดคุยติดต่อมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2559 ก่อนที่ น.ส.จริยาภรณ์ จะมาหาตนที่ จ.ชลบุรี และคบหากันประมาณ 3 เดือน จากนั้นก็ถูกชักชวนให้ลงทุนทำธุรกิจค้าผลไม้แก้วมังกร โดยมีการเดินทางไปดูสวนผลไม้ที่ จ.น่าน จากนั้น น.ส.จริยาภรณ์ ก็พูดถึงเรื่องแต่งงาน โดยเรียกสินสอด เป็นเงิน 4 แสนบาท และทองคำน้ำหนัก 3 บาท ต่อมา น.ส.จริยาภรณ์ ได้พาตนไปหาพ่อแม่ที่บ้านพักย่านคลองสาม ถนนรังสิต-นครนายก จ.ปทุมธานี เกี่ยวกับการจัดงานแต่งงาน
ระหว่างที่ตนกำลังหาเงินค่าสินสอด ซึ่งหามาได้และโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารไปให้ฝ่ายหญิงแล้ว 2.5 แสนบาท โดยมีกำหนดแต่งงานในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แต่งงานกัน เนื่องจาก น.ส.จริยาภรณ์ ได้คบหาอยู่กับชายอื่น และตัดสินใจแต่งงานด้วย เนื่องจากตนหาสินสอดมาได้ไม่ครบ หลังจากนั้นก็ติดต่อ น.ส.จริยาภรณ์ ไม่ได้อีก

ขณะที่ ทนายสงกานต์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ตนได้เคยบอกกับนายปรเมศร์แล้วว่า อย่าไปอาย เพราะ น.ส.จริยาภรณ์ ก็จะอาศัยความอายไม่กล้าแสดงตัวออกมาของผู้เสียหายในการหลอกลวงเหยื่อแล้วก็ใช้พฤติการณ์ที่ไม่แตกต่างกันในแต่ละรายที่ผ่านมา ซึ่ง น.ส.จริยาภรณ์ จะให้ชายทุกคนที่คบหาด้วยลาออกจากงานเพื่อมาอยู่ด้วยกันและทำธุรกิจค้าผลไม้ ก่อนจะเชิดเงินสินสอดแล้วหลบหนีไป

ทนายสงกานต์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ตนยังพา น.ส.อาภาภรณ์ โคตรบุดดา อายุ 28 ปี และ น.ส.สุกัญญา ปะระไทย อายุ 30 ปี ทั้งสองเป็น ชาว จ.เลย ซึ่งถูก น.ส.จริยาภรณ์ หลอกลวงว่าสามารถช่วยเหลือให้เข้าทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว ที่เทศบาลตำบลนาแห้ว จ.เลย โดยเสียเงินให้รายละ 1.3 แสนบาท แต่ก็ไม่ได้เข้าทำงานแต่อย่างใด โดยกรณีนี้ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีไว้แล้วที่ สภ.นาแห้ว และต่อมาทางอัยการก็ได้มีความเห็นสั่งฟ้องคดี โดยขณะนี้คดีอยู่ในชั้นศาลจังหวัดเลย มีการนัดให้ น.ส.จริยาภรณ์ เดินทางไปศาล แต่กลับไม่เดินทางไป จึงถูกศาลออกหมายจับ เมื่อปี 2556 จึงทำให้เห็นความเชื่อมโยงว่าเหตุใด น.ส.จริยาภรณ์ จึงมาใช้บัตรประชาชนของ น.ส.สร้อยเพ็ชร มาลีวัลย์ และใช้เปิดบัญชีธนาคาร


รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบบัตรประชาชนของ น.ส.สร้อยเพ็ชร พบว่า มีการแจ้งหายเพื่อขอทำบัตรใหม่ ทั้งหมด 6-7 ครั้ง โดยครั้งแรกได้แจ้งหายไว้ที่ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ ส่วนที่เหลือมีการแจ้งหายไว้ในพื้นที่ อ.เมือง จ.เลย ซึ่งในกรณีนี้ถือเป็นข้อพิรุธที่ชุดสืบสวน บก.ป. สืบทราบ โดยหลังจากนี้จะมีการประสานข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเชิญตัว น.ส.สร้อยเพ็ชร มาสอบปากคำเพิ่มเติม ส่วนพ่อแม่ของ น.ส.จริยาภรณ์ นั้น ทางชุดสืบสวนอยู่ระหว่างติดตามตัวเพื่อสอบปากคำว่ามีส่วนรู้เห็นกับการกระทำของ น.ส.จริยาภรณ์ หรือไม่ อย่างไร
ภาพจาก เฟซบุ๊ก อีจัน, newtv
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
