เจ้าของบ้านยอมรื้อเศียรพระพุทธรูป หลังเอามาแต่งรั้วบ้าน เผยแค่ชื่นชอบพุทธศิลป์ ไม่มีเจตนาดูหมิ่น จากกรณีที่ชาวต่างชาติมีภรรยาเป็นคนไทย ใช้เศียรพระพุทธรูปแต่งรั้วบ้าน ทำให้ชาวบ้านร้องเรียนเนื่องจากสำหรับชาวพุทธแล้วถือว่าเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความหดหู่ใจ สะเทือนใจเป็นอย่างมาก และไม่เหมาะสม โดยฝ่ายปกครองได้เข้าตรวจสอบและสั่งรื้อภายใน 2 อาทิตย์นั้น
(อ่านข่าว : ชาวพุทธหดหู่ ! ฝรั่งใช้เศียรพระแต่งรั้ว-กำแพงบ้าน ด้านฝ่ายปกครองขอรื้อถอน)
ความคืบหน้าล่าสุด (26 กันยายน 2560) มีรายงานว่า ผู้สื่อข่าวเวิร์คพอยท์
ได้เข้าสำรวจบ้านหลังดังกล่าวอีกครั้ง
พบว่าเจ้าของบ้านได้เริ่มนำเศียรพระพุทธรูปออกแล้วบางส่วน โดยนางนวลจันทร์
สอนจันทึก อายุ 34 ปี เจ้าของบ้าน เปิดเผยว่า ตนเองและสามีชาวอเมริกันวัย
68 ปี เสียใจที่ถูกชาวบ้านและชาวเน็ตรุมด่า
ขอชี้แจงว่าตนกับสามีชื่นชอบในพุทธศิลป์อยู่แล้ว
จึงอยากจะตกแต่งบ้านตามความชอบ ซื้อเศียรพระพุทธรูปจากแหล่งผลิตแห่งหนึ่งใน
อ.หางดง จ.เชียงใหม่ เป็นเศียรพระพุทธรูปปูนที่ถูกทิ้งไปแล้ว
เหมามาในราคาประมาณ 35,000 บาท
ให้ช่างทาสีทองสวยงามก่อนจะนำไปประดับไว้ที่รั้วบ้าน
เพิ่งทราบว่ามีเพื่อนบ้านถ่ายภาพเอาไปเผยแพร่จนถูกร้องเรียน
ทั้งนี้ยืนยันว่า ไม่มีเจตนาลบหลู่หรือดูหมิ่นศาสนาพุทธ
เพราะตนก็นับถือศาสนาพุทธ เคารพศรัทธาในพุทธศาสนา
เพียงแต่มองว่าพระพุทธรูปอยู่ที่ไหนก็งดงามควรค่าแก่การเคารพ
และไม่รู้ว่าภาคเหนือจะมองว่าเรื่องแบบนี้ไม่เหมาะสม
มารู้ก็ตอนที่เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจที่บ้าน ตนและสามีตกใจมาก
ทั้งนี้ตนเข้าวัดมาตั้งแต่เด็ก ส่วนสามี แม้จะเป็นชาวต่างชาติ
แต่ก็เข้าวัดบ่อย สิ่งที่เกิดขึ้นก็อยากขอโทษทุกคน
นางนวลจันทร์ บอกอีกว่า
อีกสาเหตุหนึ่งที่นำเศียรพระพุทธรูปมาประดับรั้วโดยหันหน้าเศียรพระเข้ามาในตัวบ้าน
ก็เพราะว่าบ้านของตนตั้งอยู่ด้านหลังสุสานประจำหมู่บ้าน
เชื่อว่าเศียรพระที่หันหน้าเข้าตัวบ้านจะช่วยปกปักรักษาคนในบ้านให้ปลอดภัยไร้สิ่งรบกวน
สำหรับเศียรพระที่ซื้อมามีทั้งหมดประมาณ 70 ชิ้น
ทาสีและนำขึ้นตกแต่งบนรั้วแล้ว 33 ชิ้น
ส่วนที่เหลือรอช่างมาทาสีและตั้งใจนำไปประดับตกแต่งทั่วบริเวณบ้าน
แต่เมื่อถูกทักท้วงก็ยินดีร่วมมือ โดยจะนำลงจากรั้วทั้งหมด
และจะนำไปตกแต่งภายในบริเวณบ้านที่เป็นพื้นที่ส่วนตัว
ส่วนใครที่อยากได้จะขายให้ในราคาต้นทุน ด้านนายอุบลพันธ์
ขันผนึก ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า
กรณีดังกล่าวยังไม่เข้าข่ายการดูหมิ่นหรือย่ำยีพุทธศาสนา
แต่เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เมื่อเจ้าของให้ความร่วมมือก็ต้องขอบคุณ
แต่หากยังพบว่ามีการกระทำที่ไม่เหมาะสม
ก็จะต้องให้ฝ่ายปกครองท้องที่ใช้กฎหมายที่ถืออยู่เข้าดำเนินการ หลังจากนี้
จะประสานงานไปยังวัดทุกแห่ง ให้ช่วยกันสอดส่อง
และประชาสัมพันธ์เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก
ภาพและข้อมูลจาก