แม่ออกโรงเตือนภัยโลกโซเชียล หลังลูกชายวัย 14 โดนสาวหลอกเปิดกล้องแลกสไกป์ ผลัดกันช่วยตัวเอง ก่อนถูกแบล็กเมล ให้ถ่ายคลิปอนาจารส่งให้ดูทุกเดือน มานานกว่า 3 ปี ด้านทนายรณณรงค์ เตือน ใครเซฟไว้ในเครื่องหรือส่งต่อ เจอคุก 5 ปี ปรับสูงสุด 1 แสน
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 มีรายงานว่า รายการ เจาะประเด็น ทางช่อง 8 ได้เชิญ ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม และคุณลีนา จังจรรจา มาพูดคุยถึงกรณีคุณแม่รายหนึ่งได้ออกมาเตือนภัยโลกโซเชียลหลัง น้องเอ (นามสมมุติ) ลูกชายวัย 14 ปี โดนคนร้ายข่มขู่ ทำอนาจาร ให้ช่วยเหลือตัวเองผ่านกล้องสไกป์เป็นระยะเวลานานกว่า 3 ปี โดยเรื่องราวมีดังนี้
แม่ : เรื่องเกิดขึ้นเมื่อปี 2559 ตอนนั้นน้องอายุประมาณ 12 ปี มีผู้หญิงแปลกหน้าได้ทักมาในเฟซบุ๊ก แล้วชวนน้องเอเปิดกล้องเพื่อแลกสไกป์กัน โดยผลัดกันช่วยเหลือตัวเองทั้งฝั่งของน้องเอและผู้หญิงคนนั้น ด้วยความที่น้องยังเด็กเลยทำไปโดยที่ไม่ทันคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีและจะส่งผลเสียต่อไปในอนาคต
หลังจากนั้นมันเกิดความผิดปกติอย่างไร

คุณแม่ : ประมาณเดือนสิงหาคม-กันยายน ปี 2559 ก็มีคลิปที่น้องช่วยตัวเองนำไปขายในทวิตเตอร์ ซึ่งเพื่อน ๆ ของน้องเป็นคนเห็นแล้วมาถามว่า คลิปที่หลุดใช่น้องหรือเปล่า น้องก็ยอมรับกับเพื่อนนะคะว่าใช่ แต่น้องเจอเพื่อนดีค่ะ แนะนำให้บอกผู้ปกครอง เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือ แต่ตอนนั้นน้องยังไม่ได้มาบอกแม่ค่ะ หลังจากนั้นเดือนมิถุนายน 2560 เริ่มมีคนทักเข้ามาว่า "ที่เห็นในทวิตเตอร์ใช่คลิปน้องไหม ถ้าน้องไม่ต้องการให้คลิปนี้เผยแพร่ไปทางโรงเรียน น้องต้องทำข้อตกลงกับพี่" เขาข่มขู่น้องทั้งวัน ให้ถ่ายคลิปช่วยตัวเอง ถ้าไม่ทำเขาจะปล่อยคลิปเดิมที่อยู่ในกลุ่มทวิตเตอร์นั้นออกสู่สาธารณะ
ตอนนั้นที่น้องโดนข่มขู่น้องตัดสินใจอย่างไร
คุณแม่ : น้องตัดสินใจทำค่ะด้วยความจำยอมแล้วพอช่วงหลังเขาก็ทักมาให้น้องทำให้ดูเดือนละครั้ง จนประมาณเดือนตุลาคม 2560 น้องเริ่มรู้สึกว่าเขาส่งข้อความข่มขู่มาเรื่อย ๆ และคลิปเดิมก็ยังไม่มีการลบตามที่ตกลงไว้ น้องก็เลยรู้ว่าตัวเองถูกหลอกค่ะ
ตอนไหนที่น้องตัดสินใจมาบอกกับคุณแม่
คุณแม่ : เมื่อเดือนธันวาคม 2560 น้องมาเล่าความจริงให้พ่อและแม่ฟังทั้งหมด แม่ได้ให้กำลังใจน้องและให้เข้มแข็ง
ทราบมาว่าน้องมีโอกาสที่จะเข้าสู่วงการบันเทิงด้วย
คุณแม่ : คือน้องเริ่มจะต้องไปแคสต์งานต่าง ๆ แล้วโมเดลลิ่งที่ติดต่อมาเขาจะต้องดูผลงานเด็ก เขาก็บอกให้คุณแม่ลองดูว่าลูกเรามีอะไรในโซเชียลที่ส่งผลกระทบต่อตัวน้องเขาไหม คุณแม่ก็เลยเสิร์ชในกูเกิล ก็เจอเป็นทวิตเตอร์ที่ขายคลิปน้องซึ่งบอกละเอียดหมดเลยว่าน้องชื่ออะไร เรียนที่ไหน ซึ่งในคลิปตอนที่น้องช่วยตัวเองก็เห็นหน้าน้องด้วย
คุณแม่ : ยังโดนข่มขู่อยู่เรื่อย ๆ ค่ะ ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เขาก็ส่งข้อความมาสั้น ๆ ผ่านทางอินสตาแกรมว่า ตกลงจะทำหรือไม่ทำ ถ้าไม่ทำจะได้รู้กัน แม่เลยบอกน้องว่าไม่ต้องตอบโต้ใด ๆ ทั้งสิ้น
คุณลีน่ามองเรื่องนี้ว่าอย่างไรบ้างครับ

ลีน่าจัง : มันเป็นเรื่องของจิตที่วิปริตค่ะ ส่วนหนึ่งที่มีอาการทางจิต อยากจะโชว์ของตัวเองหรือช่วยตัวเอง ไม่มีใครดำเนินคดีเพราะมันเสียเวลา ยิ่งมาเจอเด็กอายุน้อยที่เขาไม่มีวุฒิภาวะพอมันยิ่งชอบเลยทำเป็นอาชีพ เพราะทำไปขายได้เงิน มีส่งมาให้ดิฉันเยอะมากทางโลกออนไลน์ เราก็จะรีบลบออกเพราะมันครอบครองไม่ได้ ใครที่ส่งมาให้ดิฉันลบออกหมด ไม่ต้องมาจิตวิปริตกับดิฉัน เรื่องนี้ต้องเอาเข้าคุกให้หมด ถ้ามองในฐานะพ่อแม่ เราต้องเปิดใจคุยกับลูกในเรื่องเพศที่มันปลอดภัย เพราะเด็กสมัยนี้ห้ามไม่ได้ สังคมไทยถึงเวลาแล้วที่ต้องพูดเรื่องเพศกับลูก
มีข้อกฎหมายที่จะคุ้มครองผู้ที่ถูกกระทำเช่นนี้อย่างไรบ้าง
ทนายรณณรงค์ : เมืองไทยมีการแก้ไขกฎหมายอาญาเกี่ยวกับเรื่องของการครอบครองสื่อลามกอนาจารของเด็กทุกรูปแบบ ทั้งภาพหรือวิดีโอ ถ้าของเด็กที่อายุไม่เกิน 18 ปี หากมีไว้ในครอบครองจะมีความผิด ครอบครองที่ว่าคือมีในโทรศัพท์มือถือ หรือในอะไรก็แล้วแต่ที่สามารถบันทึกไว้ได้ ซึ่งตามกฎหมายอาญา มาตรา 287/1 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท แค่มีไว้ในเครื่องหรือมีการส่งต่อก็เป็นความผิดในมาตรานี้แล้ว อีกทั้งไม่สามารถยอมความได้อีกด้วย
สุดท้ายนี้คุณแม่อยากจะฝากอะไรกับเด็กวัยรุ่นและผู้ปกครองท่านอื่น ๆ ไหม
คุณแม่ : ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น ลูกจะต้องเล่าให้พ่อกับแม่ฟังทันทีเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหา และที่สำคัญการใช้โซเชียลสมัยนี้ ต้องอยู่ในความดูแลของผู้ปกครอง เพราะถ้าเกิดปัญหาอะไร ทางครอบครัวจะได้ช่วยเหลือทันท่วงที สำหรับเรื่องนี้แม่ก็จะดำเนินคดีให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม และจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด







